วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
พลังรักษาโรคในตัวเอง
ทีนี้ก็มาพูดถึงการเสริมพลังการรักษา ก็ต้องหา ธาตุกายสิทธิ์ ที่มีพลังให้เข้ากับตัวเรา คำว่าเข้ากับตัวเราหมายความว่า ผู้เฝ้า หรือเทพ กายสิทธิ์ นั้นๆจะเป็นผู้ดูแลเรา การนำมาซึ่งธาตุกายสิทธิ์ ยกตัวอย่าง เหมือนคนเราเวลาเจอเพื่อนใหม่ ยังไงก็ไม่คุ้นเคยเหมือนผู้ที่ใกล้ชิดมานาน อันนี้ก็ต้องไปพูถึงเรืองของชาติแต่ละชาติ บุญที่ทำกันร่วมมาอีก ก็แปลว่า การที่ได้ธาตุกายสิทธิ์ มา พอเพ่งได้มา บางคนก็ได้เพราะการทำบุญร่วมกันมา บางคนได้เพราะฟรุ๊ก อีกหน่อยธาตุกายสิทธิ์ก็หายไปหรือไปอยู่กันคนอื่นจนได้ เช่น เวลาเราได้ธาตุกายสิทธิ์มา ควรหาอย่างน้อยพวงมาลัยไปถวาย แล้วเวลาทำบุญต่างๆก็นำท่านติดตัวไปด้วย เวลาทำบุญก็นึกถึง ธาตุกายสิทธิ์ ว่าร่วมทำบุญไปกับเราด้วยทุกครั้ง ที่พูดมาคือ พลัง พลังที่อาจ หรือ เผื่อได้ จะมีการส่งผลถึงการกระทำต่างๆ เช่น ความเจริญ ความสำเร็จ รวมไปถึงการรักษาโรคในตัวเอง ป้องกันกรรมที่มากระทำต่างๆนาๆ เสมือนว่า ธาตุกายสิทธิ์นั้นเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งผู้ดูแลตัวเรา แต่อย่าลืม ก่อนจะนึกถึงธาตุกายสิทธิ์ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก่อนทุกครั้งไป พอถึงเวลา ที่เราสามารถนำพลัง จากธาตุกายสิทธิ์นั้นๆมาร่วมใช้ในการรักษาโรค ได้ทั้งตัวเอง และผู้อื่นอีกด้วย อย่าลืมการทำบุญทุกครั้ง เราต้องแผ่ถวายให้กับองค์พระสัมาสัมพุทธเจ้าก่อน และจึงแผ่ให้ พระอริยะเจ้าที่นับถือ แล้วก็เทพพรหม เทวดา เจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน เจ้ากรรมนายเวร
ลองเอาไปฝึกดูครับ ธาตุกายสิทธิ์ที่อยากจะแนะนำ คือ เหล็กไหลพระสีวลี มี 2 แบบ ชนิดแม่เหล็กดูดติดกับไม่ติด สีเหมือนกัน ชนิดเดียวกัน พลังเหมือนกันทุกด้าน นำไปอธิฐาณจิตสมาธิ ได้ดีสุดยอด จากที่เคยได้สัมผัสธาตุกายสิทธิ์มา บางคนคงคิดว่าเป็นแค่หินสีแดงๆ แต่คุณๆลองเอาไปให้ ครูบาอาจารย์เก่งๆ นั่งทางในดู แล้วจะได้คำตาบมาว่า ดีชั้นยอดจริงๆ ( ส่วนมากเหล็กไหลธาตุพระสีวลีพอถูกน้ำหรือเอาไปแช่น้ำแล้วดู สีจะเปลี่ยนเป็นสีเหล็กทันที ออกสีเหล็กฟ้าๆ )
วัดต้นสน (หลวงพ่อสัมฤทธิ์)
วัดต้นสน เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง เดิมชื่อ วัดสนธยา ตั้งอยู่บริเวณโรงสีล้วนข้าวไทย ฝั่งตรงข้ามของวัดต้นสนปัจจุบัน สมภารในสมัยนั้นชื่อ หลวงพ่อค้ำ (คำ) ต่อมาสภาพของพื้นที่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นท้องคุ้ง น้ำเซาะตลิ่งพังลึกเข้าไปมาก จึงย้ายสถานที่ตั้ง ณ ที่ปัจจุบัน โดยสมอาภารองค์แรกชื่อ ยัง ในสมัยประมาณ 150 ปีล่วงมาแล้ว วัดอยู่ติดปากอ่าว ดังนั้นชาวบ้านจึงเรียกว่า วัดนอก ประกอบกับวัดมีต้นสนเป็นสัญลักษณ์ จึงเรียกรวมกันว่า วัดนอกต้นสน ต่อมาภายหลัง แผ่นดินงอกออกไปอีกมากขุนอุดมเดชภักดี ได้สร้างวัดอุตมิงฆราวาสที่ปากอ่าวเรียกกันว่าวัดปากอ่าวชาวบ้านจึงเรียกวัด นอกต้นสนสั้นๆว่า วัดต้นสนแต่นั้นมา เรื่องการสร้างวัดต้นสนนี้ นายอาบ ไชยาคำ ได้เขียนไว้ว่า เมื่อพ.ศ. 2509 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ขณะนั้นเป็นเจ้าพระยาศรี มาอำนวยการก่อสร้างวังบนเขา เมื่อพ.ศ. 2402 เมื่อเสร็จแล้วผู้คนที่เกณฑ์มาใช้การงานยังไม่ได้ปลดปล่อยจึงให้มาทำกระโจม ไฟหรือประภาคารปากทางเข้าอ่าวบ้านแหลม เป็นตึกสี่เหลี่ยมหลังคามุงกระเบื้อง เมื่อ ประกอบกับประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ตอนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2385 มีคนร้ายลักพาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไป พระอธิการได้ติดตามกลับมา พิจารณาจากข้อเขียนของนายอาบ ไชยาคำ ข้อความทั้งสองนี้ดูขัดแย้งกันเอง และขอฝากท่านผู้อ่านไว้ด้วยว่า ประวัติตอนนี้ยังไม่ยุติ เพราะท่านสร้างหลายวัด วัดที่ท่านสร้างมักมีปรากฏในประวัติของท่าน ถ้าท่านสร้างวัดต้นสนจริงจะไม่มีในประวัติของท่านเลยหรือ สำหรับการสร้างโบสถ์ จะมีกี่หลังไม่ทราบ แม้กระทั่งโบสถ์หลังที่รื้อไปแล้วก็เช่นกัน ไม่ทราบว่าผู้ใดสร้าง เดิมโบสถ์เก่าเป็นเรือนไม้ ยกพื้นสูงประมาณ 2 ศอก พื้นไม้ ฝาตีด้วยไม้ทั้ง 4 ด้าน เช่นเดียวกับโบสถ์วัดในกลางและโบสถ์วัดอื่นๆ ต่อมาจึงได้มีการซ่อมแซมสร้างครั้งใหญ่ ในการสร้างซ่อมครั้งนี้ คงจะได้รับพระราชทานเงินจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงบ้าง และการบริจาคของประชาชน รวมกับนายเกี๊ยะต้นตระกูลของนายแถม นางตุ้ย โดยนายเกี๊ยะเป็นหัวหน้างาน การซ่อมสร้างครั้งนี้เป็นการซ่อมสร้างครั้งใหญ่มาการลงเข็มขนาด 3-3 นิ้ว ยาว 2 หรือ 3 เมตรบ้างไม่แน่นอน ใช้หินทะเลใช้กระเบื้องดินเผาของเดิมทุบผสมปูนขาวเชื่อมไว้บ้างเป็นบางส่วน มุงด้วยกระเบื้องดินเผาแบบจีนไม่เคลือบลวดลายภายในเป็นลายไทยฝีมือช่างจีน ลายหน้าบันเป็นไม้สักแกะสลัก เมื่อเสร็จแล้วได้จารึกไว้ที่ขื่อคานด้านหน้าว่า “ ซ่อมสร้างเมื่อวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 จุลศักราช 1245 ปี มะแม เบญจศก ตรงกับ พ.ศ.2426 นับถึงปัจจุบันได้ 92 ปี ประมาณ การว่าอยู่ในสมัยหลวงพ่อสุดเป็นสมภาร ” ต่อมาหลวงพ่อจีนซึ่งเป็นรองเจ้า อาวาสวัดได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดสร้างมณฑป โดยหลวงพ่อจีนได้ร่วมกับกรรมการวัด อันมรนายผูกและนายปานออกเรี่ยไรเงินจากประชาชนดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จ เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป สิ่งต่างๆ ก็เสื่อมโทรมไปตามวันเวลาปัจจุบันสถานที่ต่างๆ หลายแห่งเปลี่ยนแปลงไป หลายชิ้นถูกรื้อถอนเพราะความเก่าแก่ หลายชิ้นกำลังก่อสร้าง เพื่อเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชนต่อไป โบราณสถานโบราณวัตถุ ประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ขอขอบคุณข้อมูลจาก เทศบาลตำบลบ้านแหลม สถานที่ตั้ง |
| |
| |
|
โคตรเหล็กไหล
วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
การเปิดพระโอษฐ์
การเปิดพระโอษฐ์ คืออะไร..??
การเปิดพระโอษฐ์ หมายถึงการเชิญองค์บารมีประจำสังขารของตนลงมาประทับร่าง และพาสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติพระกรรมฐานในภาษาดั่งเดิมของเทพ พรหมแต่ละองค์ ซึ่งภาษาเหล่านี้ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เว้นแต่ผู้ที่มีองค์เทพพรหมมาปฏิบัติอยู่ด้วยจึงจะเข้าใจความหมาย ภาษาที่เทพพาสวดนั้นมีหลายชาติหลายภาษาเฉกเช่นมนุษย์โลกในปัจจุบัน เช่น ฮินดู ทิเบิต จีน ญวน ลาว มลายู อังกฤษ พม่า เขมร เป็นต้น เพราะเนื่องจากภาษาที่ใช้นั้นเป็นภาษาโบราณครั้งก่อนพุทธกาล เราสามารถรู้ว่าเป็นของชาติใดก็อาศัยฟังจากสำเนียงที่พูดออกมา แต่เจ้าของภาษาในปัจจุบันก็คงฟังไม่ออก เพราะเป็นภาษาโบราณนับพันปีมาแล้วนั่นเอง
ภาษาในภพภูมิต่าง ๆ นั้นย่อมมีภาษาของตนเองแตกต่างกันไป แต่สามารถที่จะสื่อให้เข้าใจกันได้ เช่นประเทศไทยมีหลายภาคหลายภาษา แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว แม้ต่างภาคกันก็ย่อมเข้าใจกันได้ เช่น คนภาคอิสานสามารถฟังภาษากลาง ภาษาใต้ และภาษาล้านนา ได้เข้าใจ แต่ไม่อาจพูดได้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา เช่นกันกับภาคอื่นก็เข้าใจภาษาอิสานเช่นกัน แต่พูดไม่เป็นเหมือนกัน แต่ฟังแล้วก็เข้าใจกัน
ในภพภูมิต่าง ๆ นั้น เช่น พรหม เทพชั้นสูง เทพ ยักษ์ คนธรรพ์ นาค นาคี บังบด แม่ธรณี พญายมราช ก็ย่อมมีภาษาของตนเองเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์เราย่อมเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง 3 มานานนับไม่ถ้วน ดังนั้นดวงจิตเหล่านี้ย่อมจะจดจำภาษาต่าง ๆ ที่เราเคยใช้มาก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะบางชาติเราอาจจะเกิดในแผ่นดินทิเบต จีน ไทย เขมร ลาว ญวน ก็แล้วแต่ หรือเกิดอยู่ในชั้นเทพ ชั้นพรหม ชั้นบาดาล โดยมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน และเมื่อถึงเวลามาจุติในมนูษย์โลกนี้ ก็จะมีครูบาอาจารย์ทั้งที่เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ อริยเทพ เทพเทวดาในระดับต่าง ๆ ติดตามคุ้มครองช่วยเหลือร่างนี้ให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง ขณะเดียวกันก็พาร่างนี้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีควบคู่กันไป แม้ละจากโลกนี้ไปก็จะได้จุติในภพภูมิเดิมหรือสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
การเปิดพระโอษฐ์เชิญองค์บารมีลงประทับนั้นหาใช่ว่าจะทำให้ร่างนั้นร่างทรงก็หาไม่ เพราะในขณะที่อัญเชิญท่านลงมานั้นเราจะมีสติอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าไม่อาจจะฝืนอาการเหล่านั้นได้ เช่น ขนลุกซู่ชูชัน ปากสวดหรือพูดภาษาที่ฟังไม่ออก มือ แขน ขา มีการขยับในอาการกริยาต่าง ๆ หนักตัว มือไม้ชา เป็นต้น การเปิดพระโอษฐ์นั้นเพื่อ ไล่ผี ปราบมาร ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในโชคชะตาราศีแก่ผู้อื่น เทพส่วนมากจะลงมาคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้นโดยจะไม่ยอมช่วยเหลือใคร เพราะว่าเทพแต่ละองค์ท่านจะทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น รักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยผ่านทางญาณเทพที่อยู่กับร่าง มันจะเกิดความรู้แปลก ๆ ผุดขึ้นมาทางจิต แล้วพูดทายทักออก
ไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่การลงประทับทรงอย่างที่เคยเห็น เพราะลักษณะร่างทรงนั้นส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมา เวลาท่านลงร่างจะมีอาการสั่นอย่างรุนแรงและจะไม่มีสติรู้สึกตัวว่า พูดหรือทำอะไรออกไป จนกว่าญาณเทพจะถอยออกจึงจะเป็นตัวของตัวเอง และมีผู้มาเล่าให้ฟังในภายหลัง ส่วนมากองค์เหล่านี้จะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนเปิดออกมาแทนที่จะเป็นองค์สังขารบารมี กลับกลายเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา อาจจะเป็นวิญญาณทั่วไปหรือเป็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรก็ได้
การเปิดพระโอษฐ์หรือเปิดภาษาเทพนั้น ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับบารมีเดิมของแต่ละคน บางคนสามารถพูดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่บางท่านก็ต้องใช้เวลาสวดยัติให้หลาย ๆ ครั้ง ภาษาที่ได้นั้นจะมีหลายภาษา ขึ้นอยู่กับการขยันเรียนของคนนั้นด้วย ถ้าได้แล้วขี้เกียจเรียนนาน ๆ เข้าก็จะเสื่อมหรือคลายหายไป
ถ้าผู้ใดหมั่นฝึกฝนปฏิบัติก็จะพัฒนาก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป
แม้ว่าจะสามารถเปิดภาษาเทพได้ แต่ก็จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คือไม่เข้าใจภาษานั่นเอง ร่างนั้นก็จะต้องฝึกฝนในขั้นต่อไป คือการสื่อสารเข้าใจในภาษาที่องค์เทพท่านพูด โดยการฝึกฝนทางจิตอย่างที่เราเรียกว่าโทรจิต แม้จะใช้ภาษาใด ๆ ก็เข้าใจได้โดยจิตที่เราเรียกกันว่า นิรุติหรือภาษาศาสตร์
หรือให้องค์บารมีท่านพูดเป็นภาษาไทยเลยหรือสามารถแปลความหมายของภาษาเทพได้นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุหลายประการคือ
-
บารมีเดิมของแต่ละบุคคล -คนมีบารมีมากย่อมสามารถพ
ูดภาษาเทพได้เร็วภายในไม่กี่นาที
-
สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เป็นประจำ- เพื่อปรับสภาวะจิตของเราให้ให้มีคลื่นความถี่ตรงกับสภาวะเทพ
-
ขยันเรียน ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ -เหมือนคนขยันเรียนก็จบหลักสูตรเร็ว
-
รู้จักพัฒนาวิชชาความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตให้เกิดประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
คนเราเกิดมาจะมีองค์บารมีคุ้มครองสังขาร เรียกว่า "เทวดาประจำตัว" ที่ทักกันว่ามีองค์นั้น มีกันทุกคน จะเป็นเองคเทพ- พรหมหรือสัมภเวสี ก็แล้วแต่กุศลมูลเดิมหรือสัญญาที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ คนเราไม่สามารถที่จะเลือกองค์
บารมีประจำสังขารได้ ขึ้นอยู่กับกุศลและบารมีของผู้นั้น บุคคลใด ที่พูดว่าเทพองค์นั้นองค์นี้ เสด็จมาประทับร่างของตน
นั้น เป็นการหลงเข้าใจผิด โดยไม่รู้จริง องค์เทพที่เจ้าตัวได้คุยเอาไว้นั้น สาวนใหญ่ จะเป็นสัมภเวสี วิญญาณระดับ
เจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่มีฤทธิ์ไปช่วยเหลือมนุษย์อื่นใดได้หรือ?
เทวดาประจำตัวเรานั้นจะอยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก รอบๆตัวเรา การเชิญองค์บารมีหรือเทวดาของตนเองมาประทับร่าง หรือเรียกว่า “ การเปิดพระโอษฐ์” ใช่ว่าเมื่อเปิดแล้วจะได้เป็น “ คนทรง” หรือ “ ร่างทรง” อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ เพราะว่าเทพแต่ละองค์นั้นท่านจะมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น เปิดพระโอษฐ์ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ปราบมาร ปราบผี ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในทางโชคชะตาราศี เทพส่วนมากจะลง
มาเพื่อคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้น ดลจิตใจผู้นั้นให้ญาณ หรือสัมผัสทิพย์ ก็แล้วแต่องค์ของผู้นั้นท่านจะให้รู้อะไร โดยจะไม่มีหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้อื่น
ดังที่เห็นสำนักทรงจำนวนมากที่เทพของตนเองไม่มีหน้าที่ หรือว่าร่างทรง หรือคนทรงนั้นไม่มี “ บารมี” พอที่จะเปิดพระโอษฐ์เชิญเทพลงมาได้ จึงมักหาวิธีการหลอกหากินด้วยการให้รับขันธ์ เทพต่างๆ ก็แล้วแต่จะอุปโหลก
ชื่อเทพดังๆ ให้หลงเชื่อรับขันธ์เทพ หาเงินทองเข้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสัมภเวสีทั่งสิ้น เพราะเจ้าตำหนักทรง
ก็เป็นพวกเดียวกัน บ้างก็จัดฉากแต่งตัวเลียนแบบเทพสร้างภาพยกย่อง เพื่อที่จะผูกมัดใจให้ศิษย์ ให้หลงอยู่กับเจ้าสำนัก เพื่อที่จะให้ลูกศิษย์คนนั้นพาญาติสนิทมิตรสหายมาหากันมากๆ เพื่อที่จะได้ลาภสักการะต่อไป
องค์บารมีประจำสังขาร ถ้าเปรียบกับพระไตรปิฎก ( คนที่มีไว้แต่ไม่เคยเปิดอ่านเลย หรือเมื่อเปิดอ่านแต่ก็ไม่เข้าใจ
ก็คงจะต้องมีพระมาแปลให้ และถึงแม้ว่าจะได้เล่าเรียนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ได้ตกทอดกันมา 2550 ปีแล้วก็ตาม หากไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็หาเกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้อ่านไพระไตรปิฎกไม่)
องค์บารมีประจำสังขารก็เช่นเดียวกัน เมื่อไม่ได้เปิดองค์ลงมาประทับร่าง ก็มีไว้เพียงคุ้มครองเจ้าของร่างได้เป็นบางคน
เท่านั้น ( แต่ไม่ทุกคน) หากองค์บารมีคุ้มครองสังขารของมนุษย์ได้ทุกคน คนเราก็คงจะไม่ประสบกับเคราะห์กรรม เจ็บป่วย ไม่ประสบอุบัติเหตุ ไม่ถูกผีเข้า หรือถูกคุณไสย และอีกประการหนึ่ง องค์บารมีก็ไม่สามารถป้องกันร่างจาก เจ้ากรรมนายเวร
ในอดีตชาติ ที่ติดตามมาทวงหนี้ในชาตินี้ได้ พูดกันง่ายๆ องค์จะลงต้องเคลียร์สิ่งต่างๆ ที่แทรกในตัวออกก่อน
ฉะนั้นการ “ เปิดพระโอษฐ์” หรือการเปิดให้คนเรานั้นพูดภาษาเทพได้ จะทำให้เทพที่คุ้มครองร่างของเราสามารถลง
มาประทับร่างได้ บางคนได้สร้างสมบารมีเอาไว้ในอดีตชาติมามาก มีกุศลมูลเดิมมามาก เมื่อเปิดแล้วจะพูดภาษาเทพ
ได้อย่างคล่องแคล่ว ภายในเวลาอันรวดเร็ว
ซึ่งถ้าปฏิบัติไปอีกไม่นานก็จะสามารถสื่อกับองค์บารมีเป็นภาษามนุษย์ได้ “ คนที่ไม่ได้มีสะสมบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ และในชาตินี้ไม่ได้สร้างตนโดยการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิกรรมฐาน ไม่รู้จักให้ทาน ก็จะเปิดให้พูดภาษาเทพได้ยาก ( ต้องทำการประจุองค์พระธรรมให้มาก)
ส่วนมากองค์เทพเหล่านี้จะลงประทับร่างเพื่อมาคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนที่เปิดออกมา แทนที่จะเป็นองค์บารมีประจำ
สังขาร กลายเป็นว่าเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา เป็นวิญญาณเร่ร่อน หรือวิญญาณที่ถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย ซึ่งส่วนมาก
จะเป็นวิญญาณผีตายโหงทั้งสิ้น
ศิษย์ที่อาจารย์เปิดปากให้พูดภาษาเทพได้ เป็นส่วนมากที่ “ พูดภาษาเทพได้ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง” คือแปลภาษาเทพไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วเป็นความลับสวรรค์ ห้ามแปล บางครั้งก็สามารถรู้ในจิตได้
เทพ - เทวดานั้น มนุษย์ที่จะสื่อกับท่านได้รู้เรื่องจะต้อง
๑ . เป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดพอสมควร
๒ . มีบารมีสะสมมาจากอดีตชาติ
๓ . ศรัทธาในองค์บารมีประจำสังขารของตนเอง
๔ . ปฏิบัติตน สร้างบารมี มีศีลธรรม
ถ้า ไม่ปฏิบัติตน ในที่สุดก็จะห่างเหินจากองค์บารมีของตนเอง ก็จะไม่สามารที่จะพูดภาษาเทพได้อีกเลย และในที่สุดก็จะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากองค์พระบารมีได้
ผลพลอยได้จากการเปิดพระโอษฐ์
๑ . ทำให้ทราบว่ามีวิญญาณของบรรพบุรุษที่เรียกว่า “ ผีปู่ย่า” วิญญาณทั่วๆ ไป เช่นวิญญาณผีตายโหง ซึ่งถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย อยู่ในร่างของผู้มาเปิดพระโอษฐ์ หรือไม่ ?๒. บรรพบุรุษของบางท่านที่มีเชื้อสายจีน ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญทำทานไปให้ ก็จะมาเกาะกินกับลูกหลาน
เป็นวิญญาณที่อด ๆ อยาก ๆ เพราะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล แทนที่จะมาช่วยร่างกลับกลายเป็น
ว่าไม่เป็นผลดีกับลูกหลานเลย วิญญาณประเภทนี้แก้ไขด้วยการทำสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ วิญญาณประเภทนี้ไม่สามารถขับไล่ได้
๓. วิญญาณที่มาเกาะหรือแฝงอยู่ในตัว จะทำให้สังขารของคนผู้นั้นไม่สบาย ปวดหัว ปวดแขน ปวดขา กลายเป็นคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง วิญญาณพวกนี้จะต้องขับไล่ออกไป เพราะว่ามิใช่ให้โทษเฉพาะการเจ็บป่วยเท่านั้น แต่จะส่งผลให้กิจการค้าและครอบครัวมีแต่ความวุ่นวายไปหมดทุกอย่าง ไม่มีความเจริญก้าวหน้าใด ๆ ในชีวิตของคนผู้นั้นเลย
๔. วิญญาณระดับสูงที่เรียกว่า “ มาร” นั้นจะเป็นเทวดาฝ่ายมาร ซึ่งเรียกว่า “ มารเบื้องสูง” สังขารที่มารเหล่านี้สิงสถิตอยู่ จะเป็นมนุษย์ขี้คุยโม้โอ้อวด ชอบที่จะอ้างว่าตนเองนั้นมีเทพองค์ใหญ่ ๆ ทั้งนั้นลงมาประทับร่าง มารประเภทนี้มีฤทธิ์
มากพอสมควร ร่างทรงไม่สามารถปราบได้ นอกจากร่างทรงที่มี “ บารมี” สูงเท่านั้น (แต่หาได้ยากมาก)
๕. วิญญาณประเภทเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือปู่ทั้งหลายนั้น ถ้ามิใช่ “ พ่อปู่ใหญ่” หรือ
“ พระฤษี ๑๐๘ องค์” ถือว่าเป็น “ สัมภเวสี” วิญญาณ ประเภทนี้เป็นวิญญาณที่มาสร้างบุญช่วยเหลือมนุษย์ มีดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่สังขารที่สิงอยู่ ผู้ที่ไปหาคนทรงปร
ะเภทนี้ต้องใช้สติปัญญา จริงหรือไม่จริง ควรสังเกตดูจากผลงานที่ท่านได้รับจากการทำพิธีของเจ้าทรงเหล่านี้ซึ่งบาง ท่านกว่าจะรู้ตัวก็หมดเงินทองไปหลายพันหลาย หมื่นบาทแล้ว “ เพราะฉะนั้นกรุณา ดู ฟัง ใช้สติปัญญาคิด ไตร่ตรองดูเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ ก็ยังไม่สายเกินไป”