วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พลังรักษาโรคในตัวเอง

โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าจะพูดรวมๆก็ เกิดขึ้นจากกรรม คนเราจะมีพลังรักษาตัวอยู่ทุกคน ถ้าคนนั้นเป็นคนดี พยายามตั้งจิตให้สงบ นั่งสมาธิบ่อยๆ พอรู้ตัวว่าจิตใจสงบดีแล้ว ก็นึงภาพการรักษาโรคต่างๆ เช่นมีการเจ็บปวดแขนภายใน ก็ให้นำจิตไปไว้ส่วนที่ปวดแล้วให้นึงถึง เทพพรหม หรือ พระอริยเจ้า พระองค์ใดก็ได้ที่เรานับถืออย่างที่สุด แล้วก็ ขอบารมี เช่น นับถือสมเด็จพระพุฒจารย์โต พอจิตนิ่งสงบ สำรวดร่างกายว่าส่วนไหนจะทำการรักษา ให้เอ่ยขอบารมี แห่งองค์พระสมาสัมพุทธเจ้า และองค์สมเด็จพระพุฒจารย์โต ขอบารมีแห่งพระองค์ ได้โปรดมาช่วยรักษา อาการเจ็บไข้ได้ปวด ส่วนไหนก็ว่าไป ...ขอให้ความเจ็บปวดหรือโรคภัยต่างๆได้หาย สลายไป ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระสัมาสัมพุทธเจ้า และบารมีแห่งองค์สมเด็จพระพุฒจารย์โตด้วยเทอญ ...... ทีนี้ก็กำหนดจิตที่สงบนั้น ให้ไปรวมอยู่ที่ส่วนเจ็บปวด หรือส่วนที่จะรักษา ให้นึกว่ามีแสง เช่น แสงสีขาว ไปรวมอยู่ที่จิตตัวเราเอง และคิดไปเองว่า มี 2 พระองค์กำลังรักษาอยู่ ให้ทำแบบนี้บ่อยๆ แม้นแต่โรคร้ายต่างๆก็รักษาได้ ( เช่นมีแผลในกายคนโรคร้ายต่างๆ ภายในแผลไม่แห้ง ให้เราคิดแบบที่ทำ กำหนดไปว่ารักษาจนแผลแห้ง ทำให้เกิดกำลังใจ คิดไปว่ารักษาได้ หาย เกิดความปิติรู้ว่าตัวเองหาย ไม่เป็นไร แต่ต้องค่อยๆรักษาไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจสำครัญที่สุด

ทีนี้ก็มาพูดถึงการเสริมพลังการรักษา ก็ต้องหา ธาตุกายสิทธิ์ ที่มีพลังให้เข้ากับตัวเรา คำว่าเข้ากับตัวเราหมายความว่า ผู้เฝ้า หรือเทพ กายสิทธิ์ นั้นๆจะเป็นผู้ดูแลเรา การนำมาซึ่งธาตุกายสิทธิ์ ยกตัวอย่าง เหมือนคนเราเวลาเจอเพื่อนใหม่ ยังไงก็ไม่คุ้นเคยเหมือนผู้ที่ใกล้ชิดมานาน อันนี้ก็ต้องไปพูถึงเรืองของชาติแต่ละชาติ บุญที่ทำกันร่วมมาอีก ก็แปลว่า การที่ได้ธาตุกายสิทธิ์ มา พอเพ่งได้มา บางคนก็ได้เพราะการทำบุญร่วมกันมา บางคนได้เพราะฟรุ๊ก อีกหน่อยธาตุกายสิทธิ์ก็หายไปหรือไปอยู่กันคนอื่นจนได้ เช่น เวลาเราได้ธาตุกายสิทธิ์มา ควรหาอย่างน้อยพวงมาลัยไปถวาย แล้วเวลาทำบุญต่างๆก็นำท่านติดตัวไปด้วย เวลาทำบุญก็นึกถึง ธาตุกายสิทธิ์ ว่าร่วมทำบุญไปกับเราด้วยทุกครั้ง ที่พูดมาคือ พลัง พลังที่อาจ หรือ เผื่อได้ จะมีการส่งผลถึงการกระทำต่างๆ เช่น ความเจริญ ความสำเร็จ รวมไปถึงการรักษาโรคในตัวเอง ป้องกันกรรมที่มากระทำต่างๆนาๆ เสมือนว่า ธาตุกายสิทธิ์นั้นเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งผู้ดูแลตัวเรา แต่อย่าลืม ก่อนจะนึกถึงธาตุกายสิทธิ์ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก่อนทุกครั้งไป พอถึงเวลา ที่เราสามารถนำพลัง จากธาตุกายสิทธิ์นั้นๆมาร่วมใช้ในการรักษาโรค ได้ทั้งตัวเอง และผู้อื่นอีกด้วย อย่าลืมการทำบุญทุกครั้ง เราต้องแผ่ถวายให้กับองค์พระสัมาสัมพุทธเจ้าก่อน และจึงแผ่ให้ พระอริยะเจ้าที่นับถือ แล้วก็เทพพรหม เทวดา เจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน เจ้ากรรมนายเวร

ลองเอาไปฝึกดูครับ ธาตุกายสิทธิ์ที่อยากจะแนะนำ คือ เหล็กไหลพระสีวลี มี 2 แบบ ชนิดแม่เหล็กดูดติดกับไม่ติด สีเหมือนกัน ชนิดเดียวกัน พลังเหมือนกันทุกด้าน นำไปอธิฐาณจิตสมาธิ ได้ดีสุดยอด จากที่เคยได้สัมผัสธาตุกายสิทธิ์มา บางคนคงคิดว่าเป็นแค่หินสีแดงๆ แต่คุณๆลองเอาไปให้ ครูบาอาจารย์เก่งๆ นั่งทางในดู แล้วจะได้คำตาบมาว่า ดีชั้นยอดจริงๆ ( ส่วนมากเหล็กไหลธาตุพระสีวลีพอถูกน้ำหรือเอาไปแช่น้ำแล้วดู สีจะเปลี่ยนเป็นสีเหล็กทันที ออกสีเหล็กฟ้าๆ )

วัดต้นสน (หลวงพ่อสัมฤทธิ์)

วัดต้นสน









วัดต้นสน เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง เดิมชื่อ วัดสนธยา ตั้งอยู่บริเวณโรงสีล้วนข้าวไทย ฝั่งตรงข้ามของวัดต้นสนปัจจุบัน สมภารในสมัยนั้นชื่อ หลวงพ่อค้ำ (คำ) ต่อมาสภาพของพื้นที่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นท้องคุ้ง น้ำเซาะตลิ่งพังลึกเข้าไปมาก จึงย้ายสถานที่ตั้ง ณ ที่ปัจจุบัน โดยสมอาภารองค์แรกชื่อ ยัง ในสมัยประมาณ 150 ปีล่วงมาแล้ว วัดอยู่ติดปากอ่าว ดังนั้นชาวบ้านจึงเรียกว่า วัดนอก ประกอบกับวัดมีต้นสนเป็นสัญลักษณ์ จึงเรียกรวมกันว่า วัดนอกต้นสน ต่อมาภายหลัง แผ่นดินงอกออกไปอีกมากขุนอุดมเดชภักดี ได้สร้างวัดอุตมิงฆราวาสที่ปากอ่าวเรียกกันว่าวัดปากอ่าวชาวบ้านจึงเรียกวัด นอกต้นสนสั้นๆว่า วัดต้นสนแต่นั้นมา
เรื่องการสร้างวัดต้นสนนี้ นายอาบ ไชยาคำ ได้เขียนไว้ว่า เมื่อพ.ศ. 2509 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ขณะนั้นเป็นเจ้าพระยาศรี มาอำนวยการก่อสร้างวังบนเขา เมื่อพ.ศ. 2402 เมื่อเสร็จแล้วผู้คนที่เกณฑ์มาใช้การงานยังไม่ได้ปลดปล่อยจึงให้มาทำกระโจม ไฟหรือประภาคารปากทางเข้าอ่าวบ้านแหลม เป็นตึกสี่เหลี่ยมหลังคามุงกระเบื้อง
เมื่อ ประกอบกับประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ตอนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2385 มีคนร้ายลักพาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไป พระอธิการได้ติดตามกลับมา พิจารณาจากข้อเขียนของนายอาบ ไชยาคำ ข้อความทั้งสองนี้ดูขัดแย้งกันเอง และขอฝากท่านผู้อ่านไว้ด้วยว่า ประวัติตอนนี้ยังไม่ยุติ เพราะท่านสร้างหลายวัด วัดที่ท่านสร้างมักมีปรากฏในประวัติของท่าน ถ้าท่านสร้างวัดต้นสนจริงจะไม่มีในประวัติของท่านเลยหรือ สำหรับการสร้างโบสถ์ จะมีกี่หลังไม่ทราบ แม้กระทั่งโบสถ์หลังที่รื้อไปแล้วก็เช่นกัน ไม่ทราบว่าผู้ใดสร้าง เดิมโบสถ์เก่าเป็นเรือนไม้ ยกพื้นสูงประมาณ 2 ศอก พื้นไม้ ฝาตีด้วยไม้ทั้ง 4 ด้าน เช่นเดียวกับโบสถ์วัดในกลางและโบสถ์วัดอื่นๆ
ต่อมาจึงได้มีการซ่อมแซมสร้างครั้งใหญ่ ในการสร้างซ่อมครั้งนี้ คงจะได้รับพระราชทานเงินจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงบ้าง และการบริจาคของประชาชน รวมกับนายเกี๊ยะต้นตระกูลของนายแถม นางตุ้ย โดยนายเกี๊ยะเป็นหัวหน้างาน การซ่อมสร้างครั้งนี้เป็นการซ่อมสร้างครั้งใหญ่มาการลงเข็มขนาด 3-3 นิ้ว ยาว 2 หรือ 3 เมตรบ้างไม่แน่นอน ใช้หินทะเลใช้กระเบื้องดินเผาของเดิมทุบผสมปูนขาวเชื่อมไว้บ้างเป็นบางส่วน มุงด้วยกระเบื้องดินเผาแบบจีนไม่เคลือบลวดลายภายในเป็นลายไทยฝีมือช่างจีน ลายหน้าบันเป็นไม้สักแกะสลัก เมื่อเสร็จแล้วได้จารึกไว้ที่ขื่อคานด้านหน้าว่า “ ซ่อมสร้างเมื่อวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 จุลศักราช 1245 ปี มะแม เบญจศก ตรงกับ พ.ศ.2426 นับถึงปัจจุบันได้ 92 ปี ประมาณ การว่าอยู่ในสมัยหลวงพ่อสุดเป็นสมภาร ”
ต่อมาหลวงพ่อจีนซึ่งเป็นรองเจ้า อาวาสวัดได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดสร้างมณฑป โดยหลวงพ่อจีนได้ร่วมกับกรรมการวัด อันมรนายผูกและนายปานออกเรี่ยไรเงินจากประชาชนดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จ เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป สิ่งต่างๆ ก็เสื่อมโทรมไปตามวันเวลาปัจจุบันสถานที่ต่างๆ หลายแห่งเปลี่ยนแปลงไป หลายชิ้นถูกรื้อถอนเพราะความเก่าแก่ หลายชิ้นกำลังก่อสร้าง เพื่อเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชนต่อไป

โบราณสถานโบราณวัตถุ
หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร สมัยลพบุรีหล่อด้วยสัมฤทธิ์ สูง 80 เซนติเมตร พระอุระกว้าง 30 เซนติเมตรกษัตริ์มอญเป็นผู้สร้างขึ้น ราว พ.ศ. 1600 เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐาน ณ วิหารวัดต้นสน เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป
อุโบสถ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2517 กำหนดเขตกว้าง 26 เมตร ยาว 40 เมตร และทำการผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2518 ดำริสร้างสมัยพระครูปัญญาคุณากร และมาสำเร็จสมบูรณ์ในสมัยพระอธิการนิรัญย์ ใช้เป็นที่ทำสังฑกรรมและเป็นที่เจริญจิตตภาวนา ของชาวอำเภอบ้านแหลมและใกล้เคียง
ศาลาการเปรียญ อัศจรรย์ที่พุทธานุภาพสามารถสร้างศาลาหลังนี้ได้ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ห้ามฝนไม่ไห้ตก 3 วัน 3 คืน ทำให้ละครกรมศิลปากรแสดงได้ตามปกติ ทางราชการจึงมอบงบประมาณแผ่นดินจำนวน 100,000 บาท มาสร้างศาลาการเปรียญปลังประวัติศาสตร์นี้
พระปรางค์หน้าพระอุโบสถ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2426 โดยนายเกี๊ยะและนางจอกภริยาพร้อมด้วยนางแหนน้องสาว เป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่าเป็นศรีสง่าแก่วัดต้นสนที่ได้อนุรักษ์ไว้ให้อนุชน รุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
เรือสำเภาเจดีย์ สร้างปลายสมัยหลวงพ่อสุด โดยนางลักษณ์และนางโหมด ผู้สร้างวัดลักษณาราม เป็นผู้สร้างถวายวัดต้นสน โดยได้แบบมาจากวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร เป็นโบราณสถานที่รูปลักษณ์เฉพาะตัว


ประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์
หลวงพ่อสัมฤทธิ์ มีพุทธลักษณะประทับยืนบนฐาน ยกพระหัตถ์ทั้งสองในลักษณะปางห้ามสมุทร เป็นแบบสมัยลพบุรี สูงประมาณ 80 เซนติเมตร พระอุระก้าง 30 เซนติเมตร เนื้อโลหะทำด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ ประดิษฐาน ณ วิหารวัดต้นสน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
ประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ มีเรื่องเล่ากันต่อมาว่า พระมหากษัตริย์มอญแห่งกรุงหงสาวดี ทรงมีพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา จึงได้โปรดให้สร้างพระพุทธปฎิมากรองค์นี้ขึ้น เมื่อนายช่างทำการหล่อเรียบร้อยแล้วพระองค์ทรงโสมนัสเป็นที่ยิ่ง เพราะพระพุทธรูปมีลักษณะงดงาม จึงเฉลิมฉลองสมโภชองค์พระปฏิมากรอย่างมโหฬาร
เมื่อเกิดสงครามมอญกับพม่า ราวสมัยสมเด็จพระเจ้าอนิรุทธมหาราช ประมาณ พ.ศ.1600 ต้นเหตุของสงครามคือ พม่าขอคัมภีร์พระไตรปิฎก และพระคณาจารย์ผู้ทรงสมณาภิญาณ เพื่อนำไปฟื้นฟูพระศาสนาในพม่า ซึ่งกำลังเสื่อมโทรมอย่างหนัก แต่ทางฝ่ายมอญ ขัดข้องโดยอ้างว่าพระคณาจารย์ไม่ยอมไป พม่าจึงยกทัพไปรบกับมอญ
กาลต่อมา มีชีปะขาวคนหนึ่ง เดินทางมาแวะพักร้อน ขณะนั่งอยู่นั้นก็บังเกิดพุทธาปาฏิหาริย์ เป็นแสงเงินแสงทองพวยพุ่งขึ้นไปกลางนภากาศชีปะขาวจึงรู้ด้วยอำนาจแห่งฌานว่า นี้ต้องมีสิ่งวิเศษซุกซ่อน อยู่เป็นแน่ จึงเดินไปที่โพรงไม้มะกอก และก็ได้พบพระพุทธปฏิมากรซุกซ่อนอยู่จริงๆ บังเอิญขณะที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำเรือเกิดล่มองค์พระพุทธปฎิมากร จมหายไปในแม่น้ำ ชีปะขาวพยายามค้นหาแต่ก็ไม่พบจึงขึ้นบนฝั่ง กราบอำลาองค์พระด้วยความเสียใจ แล้วเดินหายไปในป่าดงพงไพร
สมัยต่อมา องค์พระพุทธรูปนี้เกิดปาฎิหาริย์ คือลอยองค์ขึ้นมากระทบกับเรือสินค้าของพ่อค้าขายพลูเข้า พ่อค้าพลูจึงอัญเชิญไปกับเรือด้วยโดยใช้ใบตองปิดคลุมองค์ไว้ เที่ยวล่องเรือซื้อขายไป จนถึงเมืองสมุทรสงครามภายหลังพระพุทธรูปได้ไปเข้าฝันชาวบ้าน ขาวบ้านจึงนำสิ่งของไปแลกเปลี่ยนพระพุทธรูปไว้ แล้วนำมาประดิษฐาน ณ วัดต้นสนสืบมา
อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน ณ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2515 ในการนี้ คณะกรรมการได้ทูลเกล้าฯ ถวายรูปเหมือน หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ผู้ใดมีไว้อยู่บ้าน ก็คุ้มครองบ้านใครมีไว้กับตัว ก็คุ้มภัยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านแหลมและจังหวัดใกล้เคียงจึงพร้อมใจกันมากราบสักการบูชากันเป็นจำนวน มาก ตราบเท่าทุกวันนี้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เทศบาลตำบลบ้านแหลม

สถานที่ตั้ง

วัดต้นสน ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนนาควัธ ตำบลบ้านแหลม อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี









.jpg


.jpg


.jpg

1.3.jpg

CA5G8N1D.1.jpg

1.2.0.jpg

_________109.0.jpg


โคตรเหล็กไหล


โคตรเหล็กไหล (เหล็ก ไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่
ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ

โคตรเหล็กไหลที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ

หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้เคยให้ลูกศิษย์นำเอา โคตรเหล็กไหลก้อน ใหญ่
สีสวยงาม เงาวับเป็นชั้น ๆ คล้ายเห็ดที่งอกเป็นกอมอบให้แก่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ เพื่อตั้งแสดงให้แก่ อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้ากัน

ดัง นั้นผู้สนใจอาจเข้าชมได้ตามวันเวลาที่กำหนด หรือ ชมโคตรเหล็กไหลชนิดเดียวกันนี้ได้ ที่พิพิธภัณฑ์เหล็กไหลวัดถ้ำแฝด ซึ่งเป็น
ศูนย์รวมของ ธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่าง ๆ ที่หาได้ยาก บางอย่างจะมีชมได้ที่วัดถ้ำแฝดเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ปริศนาของเหล็กไหล

เมื่อเราได้มีโอกาสศึกษา

ตำนานเหล็กไหลของวัดถ้ำแฝด ซึ่งถ่ายทอดมาจากความทรงจำของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ผู้ เป็นปรมาจารย์ผู้ลือเลื่องในเรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์ที่พิสดารแล้ว ก็คงสรุปได้ว่า เหล็กไหลที่แท้จริงถึงขั้นยืดได้หดได้นั้นมีน้อยมาก และหาได้ด้วยความยากลำบาก
เพราะไม่ ใช่เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจากเกจิอาจารย์ผู้สำเร็จไตรเพท หรือฤาษีดาบสผู้สำเร็จฌาณสมาบัติ โดยท่านเหล่านั้นต้องการทดสอบความรู้ที่ได้
เล่าเรียนมา

หลวงปู่สุภา กันตสีโล อายุ 101 ปี วัดเขารัง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า .ชัยนาท ผู้ทรงภูมิความรู้และเชียวชาญในเรื่องธาตุ ได้เคยสนทนากับ
หลวงพ่อสัมฤทธิ์
ในคราวที่ไปร่วมงานพุทธาภิเษก ณ วัดฉลอง จ
.
ภูเก็ต ถึงเรื่องราวของเหล็กไหล และที่วัดของท่านก็มี เหล็กไหลสีเขียวปีกแมลงทับให้ผู้ศรัทธาได้บูชาอยู่เหมือนกัน

นอก จากนี้ยังได้เปิดเผยถึง ตำราการสร้างเหล็กไหลจากอำนาจของฌาณ โดยการ
จัดหาวัสดุ ต่าง ๆ มาผสมกัน เมื่อผสมครบถ้วนแล้วก็ใช้ ธาตุไฟชาร์จจนวัสดุนั้นเริ่มแข็ง
เป็นหิน แล้วทำการชาร์จไปทุกวันจนกว่าวัตถุธาตุนั้นเปลี่ยนเป็นสีปีกแมลงทับที่เรียก
กันว่า เหล็กไหล

วัสดุที่จะนำมาทำพิธีจัดสร้างเหล็กไหลนั้น ประกอบไปด้วย ไพลดำ ขมิ้นขาว
แม่ผึ้ง
49 ตัว เมื่อสร้างสำเร็จแล้ว เพียงเทน้ำผึ้งใส่จานแล้วจับท่อนเหล็กไหล
ให้มั่นคง เหล็กไหลนั้นก็จะย้อยลงมากินน้ำผึ้ง เมื่ออิ่มแล้วก็จะหดตัวกลับมาเอง หลวงปู่สุภาได้กล่าวกับหลวงพ่อสัมฤทธิ์ว่า เหล็กไหลของวัดถ้ำแฝดสามารถนำมาดัดแปลงให้เป็นเหล็กไหลแท้ ๆ ได้

โคตรเหล็กไหล
โคตรเหล็กไหลนี้ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้มีโอกาสพบภายในถ้ำแห่งหนึ่งในเขตกาญจนบุรี ด้วยความที่เป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านเกี่ยวกับ “เหล็กไหล” จึงมักมีชาวบ้านหรือพรานป่ามาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อว่าน่าจะเป็น“เหล็กไหล”
ให้ ฟังอยู่เสมอ บางครั้งก็ได้มีโอกาสพบเห็น แต่ไม่มีวาสนาได้มา บางครั้งก็ไม่มีโอกาสได้พบเลย นอกจากเล่าขานกันมาเป็นตำนาน พอมีใครเอาอะไรมาให้ดูแล้วบอกว่าเป็น เหล็กไหล ก็คิดว่าเป็นจริงเป็นจังก็มี เพราะความที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนั่นเอง
เมื่อปี พ.ศ. 2510 ก่อนเข้าพรรษาประมาณ 2 เดือน ได้มีพรานป่าจากเขตศรีสวัสดิ์ ใกล้กับทางท่ากระดาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอิสานมาจับจองทำไร่อยู่ มาเล่าให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ฟังถึงเรื่องราวพิสดารบนถ้ำแห่งหนึ่ง ใกล้เขตแดนพม่า
ว่า เคยพบถ้ำแห่งหนึ่งอยู่บนเขาสูง อากาศค่อนข้างเย็น มีเมฆปกคลุมเกือบตลอดปี ได้เคยพยามจะเข้าไปสำรวจที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าจะมีงู ตัวยาวสีดำและขาวคู่หนึ่งเลื้อยขวางลำ
อยู่ หน้าถ้ำเป็นประจำ จนไม่กล้าผ่านเข้าไป น่าจะมีความลับที่ สำคัญบางอย่างอยู่ภายในถ้ำ อาจเป็นสมบัติหรือของศักดิ์สิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงอยากนิมนต์หลวงพ่อไปพิจารณา
ให้หน่อยหลวงพ่อท่านก็เลยตัดสินใจที่จะไปสำรวจกัน พอไปถึงที่ถ้ำแห่งนั้นก็พบความจริง
ตามที่ พรานป่ามาเล่าให้ฟัง คือมีงูตัวยาวประมาณ 2 เมตรเศษคู่หนึ่งคล้ายเฝ้าปาก
ถ้ำอยู่ ท่านจึงได้จัดเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียน เครื่องบวงสรวงพลีกรรม ที่ได้จัดเตรียมไว้แล้วบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าถ้ำเจ้าหนอง ที่ปกปักรักษา
สถานที่ เพื่อทำพิธี เปิดถ้ำ
หลังจากทำพิธีกรรมบวงสรวงเสร็จแล้ว รอจนธูปที่ปักไว้มอดเกือบหมด จึงได้เริ่ม
เคลื่อนที่ เข้าสู่ปากถ้ำ สายตาก็สอดส่ายด้วยความระแวงภัย แต่ก็ไม่ปรากฏงูดังกล่าวแสดงตนออกมาให้พบเห็น ท่านจึงเชื่อว่าคงจะเป็นงูลมเสียมากกว่าที่ทำภาพมายาหลอนผู้ที่จิตไม่ บริสุทธิ์ไม่ให้กล้ำกรายเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ภายในถ้ำเป็นทางเดินทอดยาวลึกและมืดพอสมควร ต้องอาศัยเทียนใหญ่และไฟฉาย
ส่องนำทาง พอเดินเข้ามาได้ 50 เมตรเศษ พบเป็นทางสามแพร่ง ก็เลยตัดสินใจเสี่ยงทายอธิษฐานจิตเข้าไปทางขวามือก่อน
พอเดินไปได้ 5 นาทีพบทางตีบลง แต่มีโพรงใหญ่พอมุดเข้าไปได้ไม่ไกล พบเป็นห้องโถงใหญ่บรรจุคนได้เป็นร้อย เพดานถ้ำสูงแต่ทึบ เหมือนเป็นถ้ำใหญ่
ภายในภูเขา แต่อากาศเย็นสบาย แสดงว่ามีช่องถ่ายเทอากาศติดต่อภายนอก
จึงได้ใช้เทียนชูสูงขึ้นเพื่ออาศัยแสงสว่างมองทัศนียภาพโดยรอบถ้ำ ก็เหมือนกับ
ถ้ำทั่วไป แต่ฉับพลันหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้สัมผัสเห็นแสงสว่างแวววาวยามสะท้อน
กับแสงไฟ ก็นึกสงสัยจนต้องขอไฟส่องใกล้ ๆ ก้อนหินเหล่านั้น กลับพบว่าตามผนังถ้ำ
พื้นถ้ำเพดานถ้ำบางแห่งมีหินสีดำสนิทมันวาวโดยธรรมชาติขึ้นแทรกปนอยู่กับหินธรรมดา
มีลักษณะ การงอกที่ แปลกพิสดาร ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน รู้สึกสวยงามดื่มด่ำ จนอด
ตื่นเต้นไม่ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ระยะเวลาที่ผ่านไปนานมาก หลวงพ่อจำรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่นี้ไม่ได้แล้ว เพราะตอนไปนั้นมีผู้นำทางไป แต่ปัจจุบันบุคคลเหล่านี้เสียชีวิตไปนานแล้ว
โคตรเหล็กไหลแหล่งใหม่
หลวงพ่อได้ค้นพบโคตรเหล็กไหลชนิดเดียวกันนี้ที่บริเวณ "เขาอึมครึม"
อ. หนองปรือ จ.กาญจนบุรี บริเวณเขาอึมครึมแห่งนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็น
เทือกเขายาว อากาศเย็นและมีหมอกปกคลุมอยู่โดยตลอดทั้งปี จึงเป็นที่มาของ
ชื่อ
"เขาอึมครึม" กล่าวกันว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้ค้นพบ
ถ้ำแห่งนี้ และได้นำเอาแร่เหล่านี้มาถลุงเป็นโลหะเพื่อใช้ประโยชน์ในกองทัพ

ชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่า ผู้ใดได้บูชาโคตรเหล็กไหลเขาอึมครึมไว้กับบ้านแล้ว จะประสพแต่ความร่ม
เย็นเป็นสุข เหมือนเขตขุนเขาแห่งนี้ที่มีความเย็นตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ มีอำนาจทางคงพระพันหนัง
เหนียว ปลอดภัยจากอาวุธของมีคม และยังมีคุณสมบัติ
พิเศษพกติดตัว ในทางป้องกันสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ รวมทั้งอสรพิษด้วย หรือหากใครถูกสัตว์เขี้ยวงา
กัดเอา เช่นตะขาบ แมงป่องขบกัดเอา ท่านให้ใช้แร่โคตรเหล็กไหลทำการดูดพิษได้ โดยเอาตัวแร่มาแนบปิดไว้ที่แผลเพียงไม่นานอากรปวดก็จะบรรเทา
ลักษณะของโคตรเหล็กไหล
เหตุที่เรียกว่า“โคตรเหล็กไหล”เพราะ มีลักษณะการเกิดที่พิสดาร
เนื้อเดิม ๆ ก็ เหมือนกับก้อนหินทั่วไป แต่พื้นผิวกับงอกขึ้นมาเองเป็น
ผิวมันสีดำสนิท เม็ดเล็กตั้งแต่ ขนาดเท่าปลายเข็ม ไข่ ปลาดุก เม็ดถั่วลิสง
เม็ดพุดทรา เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน หนาบ้างบางบ้าง บางแห่งเหมือนการหยดหรือไหลย้อย ทำให้นึกถึงเหล็กไหลที่เราเคย
ได้ยินกันว่า สามารถเคลื่อนที่ไปตามพื้นถ้ำ ผนังถ้ำ ตามรอยแยกรอยแตกของส่วนต่าง ๆ
ภายในถ้ำ
แต่ ที่มันแปลกมากก็คือ พื้นเดิมของมันเป็นหินแน่นอน แต่พองอกออกมากลับกลายเป็นเนื้อแกร่ง
คล้ายเหล็ก ถ้าไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ทึกทักเอาว่าเป็นเนื้อโลหะ ธรรมชาติสร้างได้พิสดาร จึงน่าจะมีความพิสดารอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน ควรที่จะได้ทำการศึกษาให้
ละเอียดต่อไปหลวงพ่อจึงได้ให้ผู้ที่ติดตาม หาค้อนขนาด 8 ปอนด์มาทุบที่ผนังหิน ปรากฏว่าแข็งมากไม่ยอมหลุดออกมา ต้องใช้วิธีสกัดก้อนหิน ที่เป็นโคตรเหล็กไหลนี้ออกมาทั้งก้อน แล้วจึงนำมาสกัดเนื้อหินออกคัดเฉพาะตัวโคตรเหล็กไหลออกมา ซึ่งมีหลายรูป
ทรงตามธรรมชาติ แต่พอหลุดออกจากผนังหินออกมากับไม่แข็งมากเท่าที่คิด เอากระดาษทรายขัด
ออก
เหล็กไหลโคตรทรหด
หลวงพ่อได้กล่าวต่อไปว่า ธรรมชาติของโคตรเหล็กไหลนั้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ชั้นสุดยอดนั้นสามารถทำการลนเอาตัวยอดเหล็กออกมาได้และยอดเหล็กที่ย้อย
ออกมา นั้นก็คือ เหล็กไหลน้ำหนึ่งตามธรรมชาติที่เคยเล่าขานกันมานาน บางทีก็เรียก
ขานกันว่า "ยอดทรหด" หรือ "โคตรทรหด" ก็มี เพราะย่อมหมายถึงสุดยอดของเหล็กไหลน้ำดีชั้นยอดที่เกิดจากโคตรเหล็กไหลนั่นเอง
โคตรเหล็กไหลหรือโคตรทรหดนี้มีลักษณะที่ค่อนข้างพิเศษที่สังเกตได้ง่ายคือ มีลักษณะรวมตัวกัน
เป็นมัด ๆ คล้ายกล้ามเนื้อคน ผิวลื่นมันระยับ มีหลายสีด้วยกัน บางชนิดสีดำสนิทดุจนิล เขียวอมดำก็มี บางทีจะพบเห็นเป็นเหลือบลายสีรุ้ง เหลือบสีเขียวปีกแมลงทับ ยิ่งโดนแสงแดดจัด ๆ กระทบเข้าด้วย
แล้ว จะยิ่งทอแสงเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มองแล้วชวนให้ลุ่มหลงไม่น้อยทีเดียว
เหล็กไหลงอก
นอกจากเหล็กไหลโคตรทรหดแล้ว ยังมีโคตรเหล็กไหลชั้นยอดอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากเช่นกัน
เรียกกันว่า "เหล็กไหลงอก" โคตรเหล็กไหล"ประเภทนี้จะมีลักษณะ
เป็นเม็ด ๆ คล้าย
ไข่ปลาดุก หรือ เกล็ดปลากระดี่ บางครั้งหากงอก
เพิ่มขึ้นมามาก ๆ ก็จะรวมตัวกันคล้ายรวงผึ้งหรือไข่ปลาดุกเกาะติด
กันเป็นแพ จึงเป็นเผ่าพันธ์ของเหล็กไหลที่มีความแปลกไปอีกอย่างหนึ่ง

โคตรเหล็กไหลงอก
โคตรเหล็กไหลทุกประเภท สามารถที่จะ "งอก" ขึ้นมาเองได้โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นก้อนใหญ่ หรือก้อนเล็กก็ตาม แม้แต่ก้อนขนาดเล็กที่นำมาเลี่ยม
แขวนติดตัว ก็งอกขึ้นมาเองจนกรอบพลาสติกแตก หรือต้องคอยเปลี่ยนกรอบ
อยู่เสมอ เพราะจากตุ่มเพียงปลายเข็มก็อาจจะโตใหญ่ขึ้นมาเท่ากับเม็ดถั่วลิสง
ได้โดยใช้เวลาไม่นานเพียงแต่การงอกนั้นจะช้าหรือเร็วก็ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคล
และสถานที่ด้วย
สำหรับ ผู้หมั่นบำเพ็ญเพียรทางจิตที่แผ่พลังเมตตา
ถึงโคตรเหล็กไหลอยู่เสมอหรือเป็น ประจำ จะพบว่าการงอกหรือโตนั้นจะเร็วมาก แต่ถึงจะทิ้งไว้บนหิ้งหรือเก็บไว้เฉย ๆ มันก็คงจะงอกเองโดยธรรมชาติอยู่ดี เพียงแต่ช้า
หน่อยเท่านั้น ซึ่งย่อมแสดงว่าเหมือนเป็นสิ่งมีชิวิตเผ่าพันธ์หนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตได้
เรื่องของเหล็กไหลจึงเป็นเรื่องของ อจินไตยที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ จึงไม่ควรนำไปขบคิด
จนมากเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกใบนี้มานาน
แสนนาน ขณะที่ชีวิตมนุษย์สั้นเพียงไม่เกิน 100 ปี ไหนเลยจะสามารถศึกษาค้นคว้าด้วย
ตนเองได้ แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นรูปธรรมได้ แต่ก็ไม่ควรถึงกับปฏิเสธเสียทีเดียว ต้องเข้าใจว่าของจริงก็ย่อมมี ของเทียมก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน สิ่งไรแท้สิ่งใดเทียม มีซักกี่คนที่เคยพบเห็นหรือมีความรู้ความเข้าใจ เพียงแต่ฟังเขาเล่าว่าหรือกล่าวขานกันมาตามตำนานเท่านั้น เว้นแต่ผู้มีอภิญญาจิต
จึงจะเข้าใจ เพราะพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อาจวัดได้ด้วเครื่องมือทางเทคโนโลยี่ได้
นั่นเอง

สีสันของโคตรเหล็กไหล

1. สีดำเหมือนนิล

2. สีเทาดำ

3. สีเขียวอมดำ

4. สีเขียวปีกแมลงทับ

5. สีรุ้ง 7 สี

โคตรเหล็กไหลเหล่านี้ หากนำมาขัดด้วยกระดาษทรายจะปรากฏสีที่แปลกดังนี้

1. สีแดงอย่างอิฐมอญ

2. สีเหลือง หาได้ยากกว่าสีแดง

3. สีดำ ล้างออกยากกว่าสีแดงและสีเหลือง

โคตรเหล็กไหลนี้มิใช่จะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยเท่านั้น พระเกจิอาจารย์ทางฝั่งพม่าก็มีความรอบรู้เกี่ยวกับโคตรเหล็กไหลนี้ได้ดี เหมือนกัน เล่ากันว่าทางชายแดนพม่านั้นนิยมเอาโคตรเหล็กไหลนี้แช่ไว้ในขวดน้ำผึ้ง ผสมกับตัวยาสมุนไพรบางอย่าง ฝานมะนาวเป็นแว่นลงไป สามารถนำไปใช้รักษาโรค
ได้หลายชนิด

ครูบาอาจารย์บางท่านก็นำไปแช่ทำน้ำมนต์ ด้วยการกำหนดจิตเพ่งกสิณอภิญญา เพื่อให้อานุภาพของโคตรเหล็กไหลแผ่พลังออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อทำน้ำเปล่า ๆ นี้เป็นน้ำทิพย์มนต์เหล็กไหลที่เต็มไปด้วยประจุพลังเหล็กไหล ใช้ได้สารพัดประโยชน์รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บด้วยเช่นกัน

การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้
ลึกละเอียดมองเห็นและถ่ายทอดออก

มาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวด
ยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกันเหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์
สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่า นั้น !!

วันที่ 30/12/2007
เวลา 06:58:14

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

การเปิดพระโอษฐ์

การเปิดพระโอษฐ์ คืออะไร..??

การเปิดพระโอษฐ์ หมายถึงการเชิญองค์บารมีประจำสังขารของตนลงมาประทับร่าง และพาสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติพระกรรมฐานในภาษาดั่งเดิมของเทพ พรหมแต่ละองค์ ซึ่งภาษาเหล่านี้ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เว้นแต่ผู้ที่มีองค์เทพพรหมมาปฏิบัติอยู่ด้วยจึงจะเข้าใจความหมาย ภาษาที่เทพพาสวดนั้นมีหลายชาติหลายภาษาเฉกเช่นมนุษย์โลกในปัจจุบัน เช่น ฮินดู ทิเบิต จีน ญวน ลาว มลายู อังกฤษ พม่า เขมร เป็นต้น เพราะเนื่องจากภาษาที่ใช้นั้นเป็นภาษาโบราณครั้งก่อนพุทธกาล เราสามารถรู้ว่าเป็นของชาติใดก็อาศัยฟังจากสำเนียงที่พูดออกมา แต่เจ้าของภาษาในปัจจุบันก็คงฟังไม่ออก เพราะเป็นภาษาโบราณนับพันปีมาแล้วนั่นเอง

ภาษาในภพภูมิต่าง ๆ นั้นย่อมมีภาษาของตนเองแตกต่างกันไป แต่สามารถที่จะสื่อให้เข้าใจกันได้ เช่นประเทศไทยมีหลายภาคหลายภาษา แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว แม้ต่างภาคกันก็ย่อมเข้าใจกันได้ เช่น คนภาคอิสานสามารถฟังภาษากลาง ภาษาใต้ และภาษาล้านนา ได้เข้าใจ แต่ไม่อาจพูดได้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา เช่นกันกับภาคอื่นก็เข้าใจภาษาอิสานเช่นกัน แต่พูดไม่เป็นเหมือนกัน แต่ฟังแล้วก็เข้าใจกัน

ในภพภูมิต่าง ๆ นั้น เช่น พรหม เทพชั้นสูง เทพ ยักษ์ คนธรรพ์ นาค นาคี บังบด แม่ธรณี พญายมราช ก็ย่อมมีภาษาของตนเองเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์เราย่อมเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง 3 มานานนับไม่ถ้วน ดังนั้นดวงจิตเหล่านี้ย่อมจะจดจำภาษาต่าง ๆ ที่เราเคยใช้มาก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะบางชาติเราอาจจะเกิดในแผ่นดินทิเบต จีน ไทย เขมร ลาว ญวน ก็แล้วแต่ หรือเกิดอยู่ในชั้นเทพ ชั้นพรหม ชั้นบาดาล โดยมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน และเมื่อถึงเวลามาจุติในมนูษย์โลกนี้ ก็จะมีครูบาอาจารย์ทั้งที่เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ อริยเทพ เทพเทวดาในระดับต่าง ๆ ติดตามคุ้มครองช่วยเหลือร่างนี้ให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง ขณะเดียวกันก็พาร่างนี้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีควบคู่กันไป แม้ละจากโลกนี้ไปก็จะได้จุติในภพภูมิเดิมหรือสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การเปิดพระโอษฐ์เชิญองค์บารมีลงประทับนั้นหาใช่ว่าจะทำให้ร่างนั้นร่างทรงก็หาไม่ เพราะในขณะที่อัญเชิญท่านลงมานั้นเราจะมีสติอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าไม่อาจจะฝืนอาการเหล่านั้นได้ เช่น ขนลุกซู่ชูชัน ปากสวดหรือพูดภาษาที่ฟังไม่ออก มือ แขน ขา มีการขยับในอาการกริยาต่าง ๆ หนักตัว มือไม้ชา เป็นต้น การเปิดพระโอษฐ์นั้นเพื่อ ไล่ผี ปราบมาร ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในโชคชะตาราศีแก่ผู้อื่น เทพส่วนมากจะลงมาคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้นโดยจะไม่ยอมช่วยเหลือใคร เพราะว่าเทพแต่ละองค์ท่านจะทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น รักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยผ่านทางญาณเทพที่อยู่กับร่าง มันจะเกิดความรู้แปลก ๆ ผุดขึ้นมาทางจิต แล้วพูดทายทักออก


ไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่การลงประทับทรงอย่างที่เคยเห็น เพราะลักษณะร่างทรงนั้นส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมา เวลาท่านลงร่างจะมีอาการสั่นอย่างรุนแรงและจะไม่มีสติรู้สึกตัวว่า พูดหรือทำอะไรออกไป จนกว่าญาณเทพจะถอยออกจึงจะเป็นตัวของตัวเอง และมีผู้มาเล่าให้ฟังในภายหลัง ส่วนมากองค์เหล่านี้จะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนเปิดออกมาแทนที่จะเป็นองค์สังขารบารมี กลับกลายเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา อาจจะเป็นวิญญาณทั่วไปหรือเป็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรก็ได้

การเปิดพระโอษฐ์หรือเปิดภาษาเทพนั้น ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับบารมีเดิมของแต่ละคน บางคนสามารถพูดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่บางท่านก็ต้องใช้เวลาสวดยัติให้หลาย ๆ ครั้ง ภาษาที่ได้นั้นจะมีหลายภาษา ขึ้นอยู่กับการขยันเรียนของคนนั้นด้วย ถ้าได้แล้วขี้เกียจเรียนนาน ๆ เข้าก็จะเสื่อมหรือคลายหายไป

ถ้าผู้ใดหมั่นฝึกฝนปฏิบัติก็จะพัฒนาก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป

แม้ว่าจะสามารถเปิดภาษาเทพได้ แต่ก็จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คือไม่เข้าใจภาษานั่นเอง ร่างนั้นก็จะต้องฝึกฝนในขั้นต่อไป คือการสื่อสารเข้าใจในภาษาที่องค์เทพท่านพูด โดยการฝึกฝนทางจิตอย่างที่เราเรียกว่าโทรจิต แม้จะใช้ภาษาใด ๆ ก็เข้าใจได้โดยจิตที่เราเรียกกันว่า นิรุติหรือภาษาศาสตร์

หรือให้องค์บารมีท่านพูดเป็นภาษาไทยเลยหรือสามารถแปลความหมายของภาษาเทพได้นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุหลายประการคือ

  • บารมีเดิมของแต่ละบุคคล -คนมีบารมีมากย่อมสามารถพ

    ูดภาษาเทพได้เร็วภายในไม่กี่นาที

  • สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เป็นประจำ- เพื่อปรับสภาวะจิตของเราให้ให้มีคลื่นความถี่ตรงกับสภาวะเทพ

  • ขยันเรียน ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ -เหมือนคนขยันเรียนก็จบหลักสูตรเร็ว

  • รู้จักพัฒนาวิชชาความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตให้เกิดประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง


ประโยชน์/การปฏิบัติตน/การฝึกในขั้นสูง



คนเราเกิดมาจะมีองค์บารมีคุ้มครองสังขาร เรียกว่า "เทวดาประจำตัว" ที่ทักกันว่ามีองค์นั้น มีกันทุกคน จะเป็นเองคเทพ- พรหมหรือสัมภเวสี ก็แล้วแต่กุศลมูลเดิมหรือสัญญาที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ คนเราไม่สามารถที่จะเลือกองค์
บารมีประจำสังขารได้ ขึ้นอยู่กับกุศลและบารมีของผู้นั้น บุคคลใด ที่พูดว่าเทพองค์นั้นองค์นี้ เสด็จมาประทับร่างของตน
นั้น เป็นการหลงเข้าใจผิด โดยไม่รู้จริง องค์เทพที่เจ้าตัวได้คุยเอาไว้นั้น สาวนใหญ่ จะเป็นสัมภเวสี วิญญาณระดับ
เจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่มีฤทธิ์ไปช่วยเหลือมนุษย์อื่นใดได้หรือ?

เทวดาประจำตัวเรานั้นจะอยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก รอบๆตัวเรา การเชิญองค์บารมีหรือเทวดาของตนเองมาประทับร่าง หรือเรียกว่า “ การเปิดพระโอษฐ์” ใช่ว่าเมื่อเปิดแล้วจะได้เป็น “ คนทรง” หรือ “ ร่างทรง” อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ เพราะว่าเทพแต่ละองค์นั้นท่านจะมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น เปิดพระโอษฐ์ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ปราบมาร ปราบผี ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในทางโชคชะตาราศี เทพส่วนมากจะลง
มาเพื่อคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้น ดลจิตใจผู้นั้นให้ญาณ หรือสัมผัสทิพย์ ก็แล้วแต่องค์ของผู้นั้นท่านจะให้รู้อะไร โดยจะไม่มีหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้อื่น

ดังที่เห็นสำนักทรงจำนวนมากที่เทพของตนเองไม่มีหน้าที่ หรือว่าร่างทรง หรือคนทรงนั้นไม่มี “ บารมี” พอที่จะเปิดพระโอษฐ์เชิญเทพลงมาได้ จึงมักหาวิธีการหลอกหากินด้วยการให้รับขันธ์ เทพต่างๆ ก็แล้วแต่จะอุปโหลก

ชื่อเทพดังๆ ให้หลงเชื่อรับขันธ์เทพ หาเงินทองเข้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสัมภเวสีทั่งสิ้น เพราะเจ้าตำหนักทรง
ก็เป็นพวกเดียวกัน บ้างก็จัดฉากแต่งตัวเลียนแบบเทพสร้างภาพยกย่อง เพื่อที่จะผูกมัดใจให้ศิษย์ ให้หลงอยู่กับเจ้าสำนัก เพื่อที่จะให้ลูกศิษย์คนนั้นพาญาติสนิทมิตรสหายมาหากันมากๆ เพื่อที่จะได้ลาภสักการะต่อไป

องค์บารมีประจำสังขาร ถ้าเปรียบกับพระไตรปิฎก ( คนที่มีไว้แต่ไม่เคยเปิดอ่านเลย หรือเมื่อเปิดอ่านแต่ก็ไม่เข้าใจ
ก็คงจะต้องมีพระมาแปลให้ และถึงแม้ว่าจะได้เล่าเรียนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ได้ตกทอดกันมา 2550 ปีแล้วก็ตาม หากไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็หาเกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้อ่านไพระไตรปิฎกไม่)

องค์บารมีประจำสังขารก็เช่นเดียวกัน เมื่อไม่ได้เปิดองค์ลงมาประทับร่าง ก็มีไว้เพียงคุ้มครองเจ้าของร่างได้เป็นบางคน
เท่านั้น ( แต่ไม่ทุกคน) หากองค์บารมีคุ้มครองสังขารของมนุษย์ได้ทุกคน คนเราก็คงจะไม่ประสบกับเคราะห์กรรม เจ็บป่วย ไม่ประสบอุบัติเหตุ ไม่ถูกผีเข้า หรือถูกคุณไสย และอีกประการหนึ่ง องค์บารมีก็ไม่สามารถป้องกันร่างจาก เจ้ากรรมนายเวร
ในอดีตชาติ ที่ติดตามมาทวงหนี้ในชาตินี้ได้ พูดกันง่ายๆ องค์จะลงต้องเคลียร์สิ่งต่างๆ ที่แทรกในตัวออกก่อน

ฉะนั้นการ เปิดพระโอษฐ์” หรือการเปิดให้คนเรานั้นพูดภาษาเทพได้ จะทำให้เทพที่คุ้มครองร่างของเราสามารถลง
มาประทับร่างได้ บางคนได้สร้างสมบารมีเอาไว้ในอดีตชาติมามาก มีกุศลมูลเดิมมามาก เมื่อเปิดแล้วจะพูดภาษาเทพ
ได้อย่างคล่องแคล่ว ภายในเวลาอันรวดเร็ว

ซึ่งถ้าปฏิบัติไปอีกไม่นานก็จะสามารถสื่อกับองค์บารมีเป็นภาษามนุษย์ได้ “ คนที่ไม่ได้มีสะสมบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ และในชาตินี้ไม่ได้สร้างตนโดยการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิกรรมฐาน ไม่รู้จักให้ทาน ก็จะเปิดให้พูดภาษาเทพได้ยาก ( ต้องทำการประจุองค์พระธรรมให้มาก)

ส่วนมากองค์เทพเหล่านี้จะลงประทับร่างเพื่อมาคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนที่เปิดออกมา แทนที่จะเป็นองค์บารมีประจำ
สังขาร กลายเป็นว่าเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา เป็นวิญญาณเร่ร่อน หรือวิญญาณที่ถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย ซึ่งส่วนมาก

จะเป็นวิญญาณผีตายโหงทั้งสิ้น

ศิษย์ที่อาจารย์เปิดปากให้พูดภาษาเทพได้ เป็นส่วนมากที่ “ พูดภาษาเทพได้ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง” คือแปลภาษาเทพไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วเป็นความลับสวรรค์ ห้ามแปล บางครั้งก็สามารถรู้ในจิตได้

เทพ - เทวดานั้น มนุษย์ที่จะสื่อกับท่านได้รู้เรื่องจะต้อง

๑ . เป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดพอสมควร

๒ . มีบารมีสะสมมาจากอดีตชาติ

๓ . ศรัทธาในองค์บารมีประจำสังขารของตนเอง

๔ . ปฏิบัติตน สร้างบารมี มีศีลธรรม

ถ้า ไม่ปฏิบัติตน ในที่สุดก็จะห่างเหินจากองค์บารมีของตนเอง ก็จะไม่สามารที่จะพูดภาษาเทพได้อีกเลย และในที่สุดก็จะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากองค์พระบารมีได้

ผลพลอยได้จากการเปิดพระโอษฐ์

๑ . ทำให้ทราบว่ามีวิญญาณของบรรพบุรุษที่เรียกว่า “ ผีปู่ย่า” วิญญาณทั่วๆ ไป เช่นวิญญาณผีตายโหง ซึ่งถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย อยู่ในร่างของผู้มาเปิดพระโอษฐ์ หรือไม่ ?

๒. บรรพบุรุษของบางท่านที่มีเชื้อสายจีน ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญทำทานไปให้ ก็จะมาเกาะกินกับลูกหลาน
เป็นวิญญาณที่อด ๆ อยาก ๆ เพราะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล แทนที่จะมาช่วยร่างกลับกลายเป็น
ว่าไม่เป็นผลดีกับลูกหลานเลย วิญญาณประเภทนี้แก้ไขด้วยการทำสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ วิญญาณประเภทนี้ไม่สามารถขับไล่ได้

๓. วิญญาณที่มาเกาะหรือแฝงอยู่ในตัว จะทำให้สังขารของคนผู้นั้นไม่สบาย ปวดหัว ปวดแขน ปวดขา กลายเป็นคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง วิญญาณพวกนี้จะต้องขับไล่ออกไป เพราะว่ามิใช่ให้โทษเฉพาะการเจ็บป่วยเท่านั้น แต่จะส่งผลให้กิจการค้าและครอบครัวมีแต่ความวุ่นวายไปหมดทุกอย่าง ไม่มีความเจริญก้าวหน้าใด ๆ ในชีวิตของคนผู้นั้นเลย

๔. วิญญาณระดับสูงที่เรียกว่า “ มาร” นั้นจะเป็นเทวดาฝ่ายมาร ซึ่งเรียกว่า “ มารเบื้องสูง” สังขารที่มารเหล่านี้สิงสถิตอยู่ จะเป็นมนุษย์ขี้คุยโม้โอ้อวด ชอบที่จะอ้างว่าตนเองนั้นมีเทพองค์ใหญ่ ๆ ทั้งนั้นลงมาประทับร่าง มารประเภทนี้มีฤทธิ์
มากพอสมควร ร่างทรงไม่สามารถปราบได้ นอกจากร่างทรงที่มี “ บารมี” สูงเท่านั้น (แต่หาได้ยากมาก)

๕. วิญญาณประเภทเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือปู่ทั้งหลายนั้น ถ้ามิใช่ “ พ่อปู่ใหญ่” หรือ

“ พระฤษี ๑๐๘ องค์” ถือว่าเป็น “ สัมภเวสี” วิญญาณ ประเภทนี้เป็นวิญญาณที่มาสร้างบุญช่วยเหลือมนุษย์ มีดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่สังขารที่สิงอยู่ ผู้ที่ไปหาคนทรงปร

ะเภทนี้ต้องใช้สติปัญญา จริงหรือไม่จริง ควรสังเกตดูจากผลงานที่ท่านได้รับจากการทำพิธีของเจ้าทรงเหล่านี้ซึ่งบาง ท่านกว่าจะรู้ตัวก็หมดเงินทองไปหลายพันหลาย หมื่นบาทแล้ว “ เพราะฉะนั้นกรุณา ดู ฟัง ใช้สติปัญญาคิด ไตร่ตรองดูเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ ก็ยังไม่สายเกินไป”