วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มหาสติปัฏฐาน 4

พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล
พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล ผู้ริเริ่มวิปัสสนากรรมฐาน แนวสติปัฐฐาน 4 แห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชพรหมจารย์ (พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล) มีนาม เดิมว่า “ทองแก้ว พรหมะเสน” เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2466 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 12 ค่ำ เดือนสิบใต้ (เดือนสิบสองเหนือ) ที่บ้านนาแก่ง ตำบลบ้านแอ่น อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ท่านเจ้าคุณอาจารย์สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนาง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 พ่อของท่านเจ้าคุณอาจารย์ชื่อ พ่อทา แม่ชื่อ แม่แต้ม พรหมะเสน มีพี่น้องท้องเดียวกัน 6 คน พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระราชพรหมาจารย์(พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล) เป็นบุตรคนที่ 5
ในวัยเด็ก ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวอย่างอบอุ่น มีความใกล้ชิดกับแม่มาก ขยันทำงานทุกอย่างไม่เคยรังเกียจแม้แต่การเหลาไม้ชำระให้แม่ จนได้รับคำชมเชยจากแม่อยู่เสมอทำให้รู้สึกปลื้มใจมาก เป็นผู้ที่มีใจฝักใฝ่ อยู่กับการบวช เป็นพระมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่ออายุประมาณ 6-7 ขวบ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ฝันเห็นพระพุทธรูปยิ้มให้ แล้วตัวเองนอนอยู่รู้สึกว่าลอยขึ้นลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นก็มีใจผูกพันอยู่กับพระมาโดยตลอด แม้แต่การเล่นก็ชอบเล่นเป็นพระ โดยนำเอาผ้านุ่งของแม่มานุ่งห่มในลักษณะของพระอยู่เสมอ ผิดกับการเล่นของเด็กคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสัญญาณแสดง ให้เห็นว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์จะต้องอยู่ในสมณเพศ อย่างแน่นอน

หลังจากสอบได้นักธรรมโท เมื่อปี พ.ศ.2486 จากสำนักเรียนวัดชัยพระเกียรติ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบ้านแอ่น อำเภอฮอด เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2487 โดยมีพระครูคัมภีรธรรมพรหมปัญโญ เจ้าอาวาสวัดชัยพระเกียรติ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการญาณรัฐ วัดห้วยทราย เป็นพระกรรม- วาจา, พระมหาจันทร์ วัดพระสิงห์วรวิหาร เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “สิริมงฺคโล” และในปีเดียวกันท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็สอบได้นักธรรมเอก จากสำนักเรียนวัดพันอ้น อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดชัยพระเกียรติอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งในระหว่างนั้นท่านเจ้าคุณอาจารย์ ก็ได้รับความไว้วางใจจากพระครูคัมภีรธรรม เจ้าอาวาสวัดชัยพระเกียรติ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นพระปลัดฐานานุกรมเมื่อปี พ.ศ.2490 ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้รับมอบหมายให้ช่วยงานสำคัญๆ ในพระพุทธศาสนามาโดย ตลอด จนกระทั่งต่อมาคณะศรัทธาจากวัดเมืองมางได้ มาอาราธนานิมนต์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ให้มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเมืองมาง เนื่องจากเจ้าอาวาสเมืองมางได้ถึงแก่มรณภาพไปเมื่อปี พ.ศ.2491 ท่านเจ้าคุณอาจารย์จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเมืองมาง ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขณะเดียวกันก็ดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอฮอดด้วย
ด้วยปฏิปทาอันเคร่งครัดและความตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ทั้งทางด้านปริยัติและการปฏิบัติเพื่อดำเนินตามรอยพระบาท ของพระพุทธองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ ทำให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้รับการคัดเลือกจากท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร(พระครูอัตตชีโว)วัดพระสิงห์วรวิหาร ให้เป็นผู้แทนของพระสงฆ์ในภาคเหนือ ไปศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในแนวสติปัฏฐาน 4 ที่วัดมหาธาตุวราชรังสฤษฏิ์ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.2495 เป็นเวลา 1 ปี ในสมัยนั้นการคมนาคมระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ก็ยังไม่มีความสะดวกเหมือนในปัจจุบัน การที่จะเดินทางไปกรุงเทพฯ แต่ละครั้งนั้นนับเป็นเรื่องใหญ่เป็นการเดินทางไกล เหมือนกับการเดินทางไปต่างประเทศทีเดียว การที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นพระรูปเดียวที่ได้รับการคัดเลือกในภาคเหนือ จึงถือว่าเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และในการไปศึกษาที่วัดมหาธาตุฯ ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์จัดขึ้นมิได้ขาดตราบจนกระทั่ง ท่านพระครูประกาศฯ ได้มรณภาพไป หลังจากจบการศึกษาที่วัดมหาธาตุฯ แล้ว เมื่อปี พ.ศ.2496 ท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็ได้รับการส่งเสริมให้ไปศึกษาปริยัติในแนวปฏิบัติ และค้นคว้าหาหลักฐานการเดินจงกรม 6 ระยะ ที่ประเทศพม่าเป็นเวลา 7 วัน และที่ประเทศอินเดียเป็นเวลา 10 วัน แล้วกลับมาที่ประเทศพม่าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเดินจงกรมและการปฏิบัติ-วิปัสสนากรรมฐานในแนวสติปัฏฐาน 4 โดยศึกษา ค้นคว้าจากพระไตรปิฎกเป็นเวลา 2 ปี ครั้งนี้ได้พักอยู่ที่วัดกำมะเอระยะหนึ่ง แล้วย้ายไปพักที่วัดพญาจี่จองได้(เช้าทัดจี่) ก่อนกลับเมืองไทยท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้มีโอกาสศึกษาการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานที่ศาสยิกากับท่านมหาสีสะยาดอภัททันตะโสภณมหาเถร เป็นเวลา 1 เดือน จึงเดินทางกลับเมืองไทย
ด้วยปณิธานอันแรงกล้าที่จะเผยแพร่พระพุทธศาสนาด้านวิปัสสนาธุระให้เข้าไปอยู่ในดวงใจของมวลมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อท่านเจ้าคุณเดินทางกลับมาที่วัดเมืองมางได้ริเริ่ม จัดตั้งสำนักอบรมการฝึกปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานในแนวสติปัฏฐาน 4 ขึ้นเป็นแห่ง แรกในจังหวัดเชียงใหม่ ณ วัดเมืองมาง เมื่อปี พ.ศ.2497 ท่านเจ้าคุณได้จัดสร้างกุฏิกรรมฐานขึ้นในบริเวณ วัด และใช้ความรู้ที่ศึกษามาเปิดการอบรมแนะนำขั้นตอนของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง เพื่อเป็นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติอย่างได้ผล นอกจากนี้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ยังเป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างหอสมุด และจัดตั้งห้องสมุดวัดเมืองมางขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2500 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจทั้ง ทางด้านปริยัติและการปฏิบัติได้ศึกษาหาความรู้อย่างกว้างขวาง และในปี พ.ศ.2507 ท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็ได้ริเริ่มจัดตั้งสำนักสอนพระอภิธรรมขึ้นเป็นแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ณ วัดเมือง-มาง โดยอาราธนานิมนต์พระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านพระอภิธรรมมาจากวัดระฆังโฆษิตาราม ธนบุรี และจากวัดมหาธาตุฯ พระนครมาเป็นผู้อำนวยการสอนทางด้านปริยัติ ส่วนท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็ทุ่มเทให้กับการสอนทางด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างเต็มที่
ปี พ.ศ.2534 เป็นต้นมา ท่านเจ้าคุณได้รับบัญชาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านเจ้าคุณก็ได้กระทำการฟื้นฟูและส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารนี้ เช่นเดียวกัน โดย ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นมีการก่อสร้างกุฏิ สำหรับฝึกวิปัสสนากรรมฐาน มีสำนักงานวิปัสสนาธุระวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เพื่อเป็นสถานที่ทำการประสานงานกิจการของการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน และมีศาลาสำหรับสอบอารมณ์ผู้เข้ารับการปฏิบัติ ซึ่งจัดสร้างไว้อย่างเป็นสัดส่วนโดยเฉพาะ
นอกจากท่านเจ้าคุณอาจารย์จะส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในแนวสติ ปัฏฐาน 4 นี้ ให้กับพุทธศาสนิกชนชาวไทยแล้ว ท่านเจ้าคุณอาจารย์ยังได้เผื่อแผ่แนวการปฏิบัตินี้ ไปยังพุทธศาสนิกชนในต่างประเทศด้วยจุดมุ่งหมายก็เพื่อจะพัฒนาจิตของมวลมนุษย์ให้เข้าถึงคุณธรรมขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นำสันติภาพอันถาวรมาสู่สังคมโลก
ศรัทธาของชาวต่างประเทศเกิดขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ได้ขยายสำนักปฏิบัติมาที่วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) แล้วก็ได้มีชาวต่างประเทศที่เลื่อมใสศรัทธามาปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมาก ด้วยเห็นคุณประโยชน์อันมีค่ามหาศาลของการปฏิบัติ จึงพากันมาจากประเทศต่างๆ ทั่วทั้งแถบเอเชีย และมีจำนวนหลายคน ที่เกิดความเลื่อมใสศรัทธาและเห็นคุณค่า ของการปฏิบัติ เมื่อเดินทางกลับประเทศของตนแล้วก็ได้ดำเนินการจัดตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและได้อาราธนานิมนต์ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ให้เดินทาง ไปอบรมและสอนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยังประเทศนั้นๆ
การเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในต่างประเทศของท่านเจ้าคุณอาจารย์นั้นบางครั้งก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพของดินฟ้าอากาศ อาหาร ความเป็นอยู่เวลาที่แตกต่างกัน ท่านเจ้าคุณอาจารย์ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่งในการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้ง เพื่อประโยชน์อันมหาศาลที่ชาวโลกจะได้รู้ว่า ธรรมะภาคปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในแนวสติปัฏฐาน 4 นี้จะช่วยให้มวลมนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โลกสงบร่มเย็นได้ด้วยธรรมะของพระพุทธองค์ และจากการที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์มีความเพียร พยายามเดินทางไป เผยแผ่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในประเทศต่างๆ นี้ ทำให้มีชาวต่างประเทศ ผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมาศึกษา และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทย เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เป็นไปตามพุทธประสงค์ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสว่า “จรถ ภิกขเว...” ซึ่งแปลว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประกาศพระสัทธรรม ของเราแก่ชนทั้งโลก เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น จึงกล่าวได้ว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นนักพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมด้วยการเผยแผ่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมความดีเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน และศิษยานุศิษย์อย่างกว้างขวางเป็นผู้มีความรู้ความสามารถมีความมุ่งมั่น และปณิธานอันแรงกล้าในการปฏิบัติศาสนากิจให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ด้วยความวิริยะอุตสาหะและความอดทน เป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่สังคมนานัปการจนเป็นที่รู้จักและยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ผลงานทั้งหลายของท่านเจ้าคุณอาจารย์ทรงคุณค่าจนไม่อาจประเมินเปรียบเทียบกับสิ่งใดได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานทางด้านวิปัสสนาธุระ เป็นผลงานที่สมควรแก่การยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ด้วยคุณธรรมความดีดังกล่าวของท่านเจ้าคุณอาจารย์จึง ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามที่ “พระราช- พรหมาจารย์” ในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษาครบ 6 รอบ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2542 เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นการ ส่งเสริมให้ชาวโลก ได้เห็นคุณธรรมของพระ-พุทธองค์ให้มากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วม กันอย่างสันติสุขของมวลมนุษย์ทั้งหลาย

เก็บมาฝากจากการปฏิบัติธรรม ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เชียงใหม่
เนื้อความ :

เรามีโอกาสลาพักร้อน 2 อาทิตย์ เมื่อวันแม่ที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเลือกไปปฏิบัติธรรม ณ สถานที่นี้ตามคำแนะนำของญาติที่เคยบวชที่วัดนี้มาก่อน ว่ามีการสอนวิปัสสนากรรมฐานเป็นขั้นตอน มีหลักสูตร สามารถเห็นความก้าวหน้าทางจิตชัดเจน และหลวงพ่อที่นี่เป็น ผู้ที่ปฏิบัติดีและเป็นที่นับถือมากและเราก็ตัดสินใจ ไม่ผิดจริง ๆ ที่ ใช้เวลา ที่เรามีได้คุ้มค่ามาก เรานั่งรถไฟจากกรุงเทพ และรวมกับญาติที่ลำปาง ขับรถมาส่งเราที่วัดนี้ ญาติได้ทำการติดต่อกับทางวัดจองสถานที่พักล่วงหน้าแล้ว (ควรติดต่อมาก่อนเพราะที่พักอาจเต็มได้) ที่นี่มีกุฎิที่พักราว 200 กุฏิ
(รวมของพระ ชี และ โยคี แล้ว แต่ยังไม่รวมตึกแถวหรือศาลา) ที่พักที่นี่สัปปายะมาก เป็นบ้านชั้นเดียวห้องน้ำในตัว มุ้งลวด เหล็กดัด อุปกรณ์ที่จำเป็นพร้อม) เรียกว่าสถานที่พร้อม อาหารพร้อม มีทั้งมังสวิรัติหรือธรรมดา ก็เหลือแต่คนนี่แหละที่พร้อมจะตั้งใจปฏิบัติหรือเปล่า เรามากับคุณยาย และป้า เรียกว่าแก่แล้วทั้งคู่ ป้าเข้าวัดครั้งแรก แต่เราและคุณยายเคยปฏิบัติธรรมหลายแห่งแล้ว สำหรับเราครั้งนี้จะเป็นครั้งที่นานที่สุด เพราะที่ผ่านมาสูงสุดแค่ 7 วันเท่านั้น เราปฏิบัติธรรมไม่สม่ำเสมอหรอก แล้วแต่โอกาสจะอำนวย แต่ปีหนึ่งก็ไม่บ่อยครั้งนัก อยู่บ้านก็ไม่ได้ปฏิบัติหรอกเพราะกิเลสมันเยอะ ดังนั้นทุกครั้งที่ไปเกือบเหมือนเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง ทีไปน้อยๆวัน พอจิตใจมี สมาธิ ขึ้น ก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ทราบจากญาติว่าหลักสูตรหนึ่งประมาณ 21 วัน ดังนั้นเมื่อได้ขึ้นขันธ์ขอเรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อ(พระอาจารย์ทอง สิริมงฺโล) (พระราชพรหมาจารย์) เราจึงเรียนท่านว่าเรามีเวลาเพียง 14 วันขอหลักสูตรเร่งรัดจากหลวงพ่อ เพราะเราอยากจบตามหลักสูตร แบบว่าอยากปฏิบัติให้เข้ม ๆ ถึงเข้ากรรมเลย) หลวงพ่อท่านว่าแล้วแต่วาสนานะ เราก็ตั้งใจปฏิบัติเต็มที่แหละ ที่นี่สอนแนวสติปัฏฐาน 4 ที่นี่สอน ให้ใช้คำบริกรรมว่า ยุบหนอ พองหนอ เราไม่ค่อยถนัดหรอก เพราะจิตมันคุ้นเคยกับอนาปานสติ พุทโธ หรือไม่กำหนดมากกว่า แต่เพื่อความก้าวหน้าทางจิต ก็ต้องฝึกเอา เราถือว่าทุกๆสาย ก็เป็นทางสายพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น จึงยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของทุกๆ สถานที่ที่เราไป
ที่นี่มีการเดินจงกรม 6 ระยะแบบเดียวกับสายคุณแม่สิริ กรินชัย หรือสายแม่ชีอมรีรัตน์ แต่ไม่เน้นรูปแบบความสูงต่ำของการยก ย่าง แต่ให้มีสติ กำหนด
1 ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
2 ยกหนอ เหยียบหนอ
3 ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
4 ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
5 ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ
6 ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ
ท่านไม่ได้ให้เราเดินเปลี่ยนทุกวันนะ เพราะทุกวันหลวงพ่อจะเมตตา ให้โยคีเข้าพบ และสอบอารมณ์ได้ ตอนเช้า ประมาณ 6.30 น ตอนเย็น
ประมาณ 16.30 น. และท่านก็จะบอกว่าวันนี้ให้ปฏิบัติอย่างไรต่อ เช่นวันแรกท่านให้กราบสติปัฏฐาน 4 เดิน 1 และนั่งสมาธิ ยุบหนอ พองหนอ ถือเป็น 1 ชุด เรื่อยๆ อย่างละ 20 นาที วันหนึ่ง ไม่ควรต่ำกว่า 9 ชุด สำหรับผู้ที่ใหม่ท่านก็ให้พระ หรือแม่ชีสอนว่าท่าเดินเป็นอย่างไร วันต่อมา เช้าสอบอารมณ์ท่านก็ให้เล่าว่าการปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง และให้เดินเปลี่ยนเป็นเดิน 2 ทำสลับนั่ง 25 นาที ตอนเย็นสอบอารมณ์อีกท่านถามว่าพอง ยุบหายมั้ย และท่านก็ให้กำหนดเพิ่ม พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ (เมื่อพอง ยุบหาย และให้พิจารณามองร่างกาย) ทำอย่างละ 30 นาที ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ เรามีครูบาอาจารย์ อบรมสั่งสอน ใกล้ชิดสามารถถามคำถามที่ข้องใจได้ คนส่วนใหญ่จะสอบอารมณ์เพียงวันละหน แต่เรามีเวลาน้อย เลยมาหา หลวงพ่อ ทั้งเช้า เย็น เลย เราถือหลักอยากก้าวหน้าไว ต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติมาก เราพักกุฏิคนเดียว ป้ากับยายแยกอยู่อีกกุฏิ ป้าเกิดไม่สบายในวันรุ่งขึ้นเลย ลุกไม่ไหวบอกเวียนศีรษะ เป็นความดัน เราจึงบริการส่งอาหารให้ ป้าเกือบจะกลับก่อนกำหนด แต่เรากับคุณยายให้ป้าอดทน และอธิฐานขออนุญาติทำบุญ เพราะอาจเป็นกรรมที่จะขัดการทำบุญ ซึ่งท่านไม่ค่อยได้ทำมากนัก ซึ่งก็จริงเพราะอีกวันสองวันท่านก็หายสนิทสามารถปฏิบัติธรรมได้ต่อ ที่นี่ไม่ได้เคร่งครัดนัก หมายถึงผู้ปฏิบัติจะต้องขยันและปฏิบัติเอง จะไม่มีผู้มาจ้ำจี้จ้ำไช ว่าจะตื่นนอนเวลาใด ปฏิบัติเวลาใด เราสามารถปฏิบัติได้ทั้งในกุฏิตัวเอง ซึ่งยาวพอสำหรับการเดินจงกรม หรือจะไปปฏิบัติที่ธรรมศาลาก็ได้ ซึ่งนักปฏิบัติธรรมหลายคน นิยมมาที่นี่เพราะกว้างขวาง เย็นสบาย แรกๆ เรามักจะรู้สึกปวดเมื่อย อยากพลิก อยากเปลี่ยนท่า นึกถึงว่าเวลาจะหมดหรือยัง เมื่อหลวงพ่อเพิ่มเวลาก็พบว่า ความรู้สึกอยากเปลี่ยนท่านั้น ขยับเวลาออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน มักจะอยากยอมแพ้เมื่อใกล้เวลาทุกทีไป เช่นถ้าหลวงพ่อให้นั่งถึง 35 นาที ถ้าเรายอมแพ้ ก็มักจะเป็น อีก 1 นาทีก่อนหมดเวลา ทุกทีไป ดังนั้นถ้าอดทน จนนาฬิกาหมดเวลา ก็จะชนะได้ทุกครั้ง วันต่อมาหลวงพ่อเพิ่มให้กำหนดจิตสติไปเพ่งพิจารณาถูกที่จุดต่างๆ ในร่างกาย วันแรกคือสะโพกขวา ซ้ายเหมือนเอาเหรียญบาทไปแตะถูกจุดนั้น โดยกำหนดคำบริกรรมว่า พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ (นึกจิตไปถูกสะโพกขวา) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ (สะโพกซ้าย)
สรุปจุดต่างๆ ในร่างกายที่ต้องไปกำหนดถูกมี 28 จุด คือ
1-2 สะโพกขวา สะโพก ซ้าย
3-4 ก้นย้อยขวา ก้นย้อย ซ้าย
5-6 ขาพับด้านนอกขวา ขาพับด้านนอกซ้าย
7-8 ตาตุ่มด้านนอกขวา ตาตุ่มด้านนอกซ้าย
9-10 หลังเท้าขวา หลังเท้าซ้าย
11-12 หัวเข่าขวา หัวเข่าซ้าย
13-14 หน้าขา ขวา หน้าขาซ้าย
15-16โคนขาหนีบขวา โคนขาหนีบซ้าย
17-18-19 (ไขว้หน้า ) โคนขาหนีบขวา กลางอก ไหล่ซ้ายด้านหน้า
20-21-22 (ไขว้หน้า ) โคนขาหนีบซ้าย กลางอก ไหล่ขวาด้านหน้า
23-24-25 (ไขว้หลัง ) สะโพกขวา กลางหลัง ไหล่ซ้ายด้านหลัง
26-27-28 (ไขว้หลัง ) สะโพกซ้าย กลางหลัง ไหล่ขวาด้านหลัง
เมื่อสอบอารมณ์กับหลวงพ่อ ท่านจะทยอยเพิ่มจุดต่างๆ ในการให้จิตเราเอาไปถูก เพิ่มระดับการเดินจนกระทั่งถึงเดิน 6 เพิ่มเวลาการเดิน นั่ง จนกระทั่งถึง 1 ชั่วโมง เมื่ออารมณ์เกิดปีติ ฟุ้งซ่าน หรืออื่นอื่นท่านก็จะแนะให้เรากำหนด เห็นหนอ คิดหนอ ฟุ้งหนอ ยินหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ว่างหนอ เฉยหนอ กำหนดรู้อิริยาบถย่อย และอื่นๆ การที่มีการกำหนดจุดไปตามร่างกายเช่นนี้ทำให้นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อกรณตสิริภิกขุ วัดถ้ำชี จังหวัดเพชรบุรีที่ว่า “เที่ยวไปในกายนคร ดีกว่าทัศนาจร ภายนอก” เรารู้สึกขึ้นมาว่านี่ก็คืออีกหนึ่งวิธีในการเที่ยวไปนั่นเอง รู้สึกถึงพลังงานความร้อนของจิตที่ผ่านไปยังจุดต่างๆ การที่มีการกำหนดจุดต่างๆไปตามร่างกายทำให้เรารู้สึกว่าจิตมีงานทำ ทำให้เวลา 60 นาทีที่ใช้ในการนั่งสมาธิไม่นานเกินไป ทำให้ไม่เบื่อและสามารถนั่งได้ทนขึ้น เมื่อท่านเพิ่มจนครบจุด ท่านจะบอกให้นอนเพียง 4 ชม และวันต่อมา ท่านจะให้อธิฐาน ซึ่งคือเข้ากรรม ห้ามนอน ห้ามอาบน้ำ ให้ปฏิบัติตลอด3 วัน 3 คืน ไม่ให้ออกจากกุฏิ ให้เก็บอารมณ์มากๆ จะมีผู้บริการส่งอาหารเช้า กลางวันให้ วันแรกให้อธิฐานให้พบธรรมวิเศษ วันต่อมาให้ นับการเกิด ดับ (โงก ผงก) วันสุดท้ายให้เกิดการดับสว่าง...แต่ละวันหลวงพ่อจะให้ให้ใบอธิฐาน มีรายละเอียดของคำอธิฐาน สิ่งที่ต้องปฏิบัติ เราไม่ขอเล่าอารมณ์ ความรู้สึก นิมิค ปิติ ที่เกิดขึ้น แก่เรา ผู้อยากรู้แนะนำให้พบครูบาอาจารย์หรือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อท่านจะได้พบกับสิ่งนั้นด้วยตัวเอง เราสามารถปฏิบัติทั้งหมดที่ว่า ภายในเวลา 14 วัน ในขณะที่คุณป้าและคุณยายไม่ยอมไปสอบอารมณ์เพราะกลัวว่าจะทำไม่ได้ นั่งไม่ได้นาน แต่ก็แอบถามเรา แอบทำตามในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านทำได้ ก็ยังดีนะ ทำบ้างยังดีกว่าไม่ทำ บางคนมาครั้งที่ 2 – 3 มาเพื่อทวนญาณ หลวงพ่อจะมีใบแนะนำว่าให้ทำอะไร สำหรับญาณชื่ออะไร ใช้เวลาประมาณ 10 วัน เรายังไม่มีโอกาสทวนญาณ เนื่องจากหมดเวลา แล้ว อีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังคือ ที่นี่มีพระ ชีชาวต่างชาติหลายรูป ผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นชาวต่างประเทศก็มาก ทั้งหญิงชาย ทยอยกันมา ยังวัยรุ่นอยู่ก็มี ถามได้ความว่ารู้จาก อินเตอร์เนตบ้าง จากเพื่อนแนะนำต่อๆ กันมา มีหลายชาติที่เจอ เช่น อังกฤษ นอร์เวย์ เบลเยี่ยม เยอรมันนี ออสเตรเลีย แต่ละคนที่มา ตั้งใจจริงจัง และจะปฏิบัติให้ครบหลักสูตรทั้งสิ้น น่านับถือ และเราขออนุโมทนาด้วยจริงๆ ที่นี่มีการฟังเทศน์และเวียนเทียนรอบพระธาตุทุกวันพระ สามารถใส่บาตรได้ทุกวัน
การปฏิบัติครั้งนี้เราถือว่าจิตเราได้รับการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นสมดังตั้งใจ มีกระบวนการและหลักสูตรที่เห็นชัดและปฏิบัติต่อได้ ก็ตั้งใจนะ ว่าถึงแม้จะกลับมาอยู่บ้านแล้ว ก็จะพยายามมีสติให้รู้ทุกอิริยาบถที่เราทำมากขึ้น และอยากจะพยายามนั่งกรรมฐานต่อให้ต่อเนื่อง ไม่ทิ้งหาย ตามแรงกิเลสเหมือนที่ผ่านๆ มา สำหรับผู้ที่สนใจนี่คือเบอร์ของวัดค่ะ (053)341664,826869,01-9603151 ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านค่ะ

มหาสติปัฏฐาน 4
เอกสารนำอภิปรายปัญหาธรรมะในพระพุทธศาสนา
โดย น.อ. ประยงค์ สุวรรณบุบผา
ณ มูลนิธิส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ทางพระพุทธศาสนาเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ
ในองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2543 เวลา 14.00 - 16.00 น.

คำว่า "มหาสติปัฏฐาน" หมายถึง การตั้งสติอย่างใหญ่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสมหาสติปัฏฐานแก่พระภิกษุและชาวแคว้นกุรุรัฐ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ ณ นิคม ชื่อกัมมาสทัมมะ* มีใจความสำคัญว่า
"ภิกษุทั้งหลาย หนทางสายเอกสายเดียวนี้คือ เอกายโน มคฺโค (เอกายนมัคค์) เป็นทางที่ทำให้สัตว์บริสุทธิ์ พ้นจากความโศก ความคร่ำครวญ เพื่อกำจัดทุกข์กายทุกข์ใจเพื่อให้เข้าถึงธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยการตั้งสติ 4 อย่าง"
มีคำกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมหาสติปัฏฐาน 4 แก่พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และปวงชนทั่วไปแห่งกุรุรัฐ ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ

1. ผู้ฟังพระธรรมเทศนามีสุขภาพกายดี
2. เป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดสามารถรับพระธรรมเทศนาที่มีอรรถะ ลึกซึ้งได้
3. เป็นผู้มีความเพียรสูง
4. มีการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ นับแต่คนรับใช้ไปจนถึงผู้ใช้แรงงาน
5. เรื่องที่สนทนากันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสติปัฏฐาน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่อาศัยมนุษย์ก็เจริญสติปัฏฐาน กล่าวหรือพูดกันถึงแต่เรื่องสติปัฏฐาน 4 ทั้งสิ้น

ในกุรุรัฐนี้ มิใช่แต่มนุษย์เท่านั้นที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานที่อาศัยมนุษย์ ก็เจริญสติปัฏฐานเหมือนกัน มีตัวอย่าง นกแขกเต้าแสดงให้เห็นเป็นกรณีศึกษาดังนี้
"มีนักรำท่านหนึ่ง เลี้ยงลูกนกแขกเต้าเอาไว้ แล้วฝึกให้พูดภาษามนุษย์ ไปไหนก็พาเอาไปด้วย คราวหนึ่ง นักรำท่านนี้ไปขออาศัยพักอยู่ ณ ที่อาศัยของนางภิกษุณีรูปหนึ่ง เวลาลาไป กลับลืมนกแขกเต้าตัวนั้นเสียสนิท สามเณรีจึงเลี้ยงนกแขกเต้าตัวนั้นไว้ ตั้งชื่อให้ว่า พุทธรักขิต นางภิกษุณีสอนให้นกพุทธรักขิตสาธยายคำว่า อัฐิ อัฐิ (กระดูก กระดูก) เป็นเนืองนิตย์ นกแขกเต้าพุทธรักขิตก็ปฏิบัติตามคำสอนของนางภิกษุณีรูปนั้นเป็นอันดี วันหนึ่งตอนเช้า ขณะที่นกพุทธรักขิตกำลังนั่งผิงแดดอ่อนอยู่ บนซุ้มประตู เหยี่ยวตัวหนึ่งมาโฉบเฉี่ยวเอาไป นกพุทธรักขิต ส่งเสียงร้องว่า กิริ กิริ พวกสามเณรีทั้งหลายได้ยินเข้าก็พากันช่วยนกพุทธรักขิตจนปลอดภัย นางภิกษุณีเถรีถามนกพุทธรักขิตว่า เวลาที่ถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไปว่าคิดอย่างไร นกพุทธรักขิตตอบว่า มิได้คิดอื่นใด คิดถึงแต่เพียงว่า -- อย่างนี้ว่า 'กองกระดูกพากองกระดูกไป จะไปเรี่ยรายกลาดเกลื่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ได้เท่านั้น พระเถรีให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ พุทธรักขิตเจ้าคิดอย่างนั้น ก็จักเป็นปัจจัยแห่งความสิ้นภพ สิ้นชาติของเจ้าในอนาคต"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนให้ใช้หลักมหาสติปัฏฐาน 4 (การตั้งสติอย่างใหญ่) ซึ่งเป็นทางสายเอกและเป็นทางสายเดียว (เอกายนมัคค์) ที่จะทำให้สรรพเวไนยสัตว์บริสุทธิ์สะอาดปราศจากโรคจิต ล่วงพ้นเสียได้จากความโศก ความร่ำไร ความดับทุกข์ ความเสียใจ (โทมนัส) เพื่อบรรลุญายธรรม คือ ธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ธรรมที่ถูก คืออริยมรรค เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
มหาสติปัฏฐาน 4 (Foundation of Mindfulness) คือ การตั้งสติอย่างใหญ่ กำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ว่าสิ่งนั้น ๆ ว่ามันเป็นของมันเอง โดยธรรมชาติ โดยธรรมดา
มหาสติปัฏฐานจำแนกออกไปได้ ดังนี้
มหาสติปัฏฐาน 4 ส่วนย่อย

1. กายานุปัสสนา การตั้งสติพิจารณากาย แบ่งย่อยออกไปเป็น 6 ส่วน (การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา)

1. อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้า-ออก
2. อิริยาบถ กำหนดให้รู้เท่าทันอิริยาบถ
3. สัมปชัญญะ ความรู้ตัวในการเคลื่อนไหวทุกอย่าง
4. ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบของร่างกาย (อวัยวะต่าง ๆ) ว่าเป็นของไม่สะอาด
5. ธาตุมนสิการ พิจารณาร่างกายของตนให้เห็นว่าเป็นสักแต่ว่าธาตุแต่ละอย่าง ๆ
6. นวสีวถิกา พิจาณาซากศพในสภาพต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มตายใหม่ ๆ จนถึงกระดูกป่นเป็นผุยผง (อันแตกต่างกันใน 9 ระยะเวลา ท่านเรียกว่าป่าช้า 9) ให้เห็นว่าเป็นคติธรรม ร่างกายของผู้อื่น (ซากศพที่กำลังพิจารณา) เป็นเช่นใด ร่างกายของเราก็จักเป็นเช่นนั้น (รวมเป็น 6 ส่วน)

2. เวทนานุปัสสนา (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา คือ
การรู้สึกอารมณ์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงเวทนา ... ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ๆ) 1) สุข 2) ทุกข์ 3) ไม่ทุกข์ไม่สุข 4) สุขประกอบด้วยอามิส 5) สุขไม่ประกอบด้วยอามิส 6) ทุกข์ประกอบด้วยอามิส 7) ทุกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส 8) ไม่ทุกข์ไม่สุขประกอบด้วยอามิส 9) ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ประกอบด้วยอามิส (รวมเป็น 9 อย่าง)

3. จิตตานุปัสสนา (การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ...) 1) จิตมีราคะ 2) จิตไม่มีราคะ 3) จิตมีโทสะ 4) จิตไม่มีโทสะ 5) จิตมีโมหะ 6) จิตไม่มีโมหะ 7) จิตหดหู่ 8) จิตฟุ้งซ่าน 9) จิตใหญ่ (จิตในฌาน) 10) จิตไม่ใหญ่ (จิตที่ไม่ถึงฌาน) 11) จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า 12) จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า 13) จิตตั้งมั่น 14) จิตไม่ตั้งมั่น 15) จิตหลุดพ้น 16) จิตไม่หลุดพ้น (รวม 16 อย่าง)

4. ธัมมานุปัสสนา (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ...) 1) พิจารณาธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุสมาธิ คือ นีวรณ์ 5 มี กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจะ และวิจิกิจฉา) เรียกว่า นี วรณบรรพ 2) ... ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เรียกว่า ขันธบรรพ 3) ... อายตนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่า อายตนบรรพ 4) ... ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ 7 คือ โพชฌงค์ 7 (สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา) เรียกว่า โพชฌงคบรรพ

5) ตั้งสติกำหนดรู้ชัดธรรมทั้งหลายมีนีวรณ์ 5 (กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา) ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) อายตนะภายใน 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) อายตนะภายนอก 6 (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์) โพชฌงค์ 7 {สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ (ความสงบกาย-สงบใจ) สมาธิ อุเบกขา] และอริยสัจจ์ 4 ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญขึ้นและดับไปอย่างไร เป็นต้น ตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง อย่างนั้น ๆ (รวม 5 ส่วน)

อานิสงส์ผลของการปฏิบัติมหาสติปัฏฐานทั้ง 4

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสเทศนามหาสติปัฏฐานสูตรแล้ว ได้ตรัสถึงอานิสงส์คือ ผลการตั้งสติอย่างใหญ่นี้ว่า ผู้ปฏิบัติจะได้รับผล 2 ประการ ประการใดประการหนึ่ง คือ บรรลุพระอรหัตตผลในชาติปัจจุบัน หากยังมีอุปาทิคือสังโยชน์ 10 (เขียนสัญโญชน์ก็ได้) หรือ อนุสัย 7 (มีกามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ และอวิชชา) เหลืออยู่ จะได้เป็นพระอนาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก) คือ เป็นผู้จะได้บรรลุพระอรหัตตผล หรือพระอนาคามิผล ในชาตินี้เป็นแม่นมั่น ภายใน 7 ปี หรือลดลงไปจนถึงเพียง 7 วัน (7 ปี, 6 ปี, 5 ปี, 4 ปี. 2 ปี, 1 ปี; 7 เดือน, 6 เดือน, 4 เดือน, 3 เดือน, 2 เดือน, 1 เดือน, 15 วัน, (กึ่งเดือน) หรือ 7 วัน)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงพฤติกรรมของจิตมนุษย์พร้อมวิธีแก้ไขพฤติกรรม
ในหลักพระพุทธศาสนาได้จำแนกพฤติกรรมของจิต เรียกว่าจริต (ความประพฤติเป็นปกติ; พื้นฐานของจิต ที่หนักไปทางใดทางหนึ่ง) ออกเป็น 6 ชนิด
พฤติกรรมของจิต

1. ราคจริต (ผู้หนักไปทางรักสวยรักงาม)
2. โทสจริต (ผู้หนักไปทางใจร้อน หงุดหงิด โกรธง่ายคิดประทุษร้าย)
3. โมหจริต (ผู้หนักไปทางซึมเซา งมงาย)
4. สัทธาจริต (ผู้หนักไปทางเชื่อง่าย)
5. พุทธิจริต/ญาณจริต (ผู้ประพฤติหนักไปทาง การใช้ความคิดพินิจพิจารณา)
6. วิตกจริต (ผู้ประพฤติหนักไปทางคิดจับจด ฟุ้งซ่าน)

วิธีการแก้ไข

1. อสุภะและกายคตาสติ (การพิจารณาให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม, การมีสติพิจารณาด้วยการเจริญกรรมฐาน)
2. เจริญกรรมฐานข้อธรรมคือ พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) และกสิณ คือ วัณณกสิณ (กสิณสี คือการเพ่งสีเขียว เหลือง แดง ขาว)
3. เจริญกรรมฐานข้ออานาปานสติ (กำหนดลมหายใจเข้า-ออก การเรียน การฟัง การถาม การศึกษาหาความรู้ การสนทนาตามกาลกับครูอาจารย์)
4. การพิจารณาพุทธานุสสติ แนะนำให้เชื่ออย่างมีเหตุผล
5. การพิจารณาพระไตรลักษณ์ (อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา) การเจริญกรรมฐานข้อมรณสติ อุปมานุสติ จตุธาตุววัฎฐาน และอาหาเรปฏิกูลสัญญา
6. การสะกดอารมณ์ด้วยการใช้หลักอานาปานสติ หรือเพ่งกสิณ เป็นต้น
(ขุ.ม. 29/727/435;889/555: ขุ.จุ. 30/492/244;/วิสุทธิ. 1/127)

จริต 6 นี้ เนื่องในอกุศลมูล 31 คือรากเหง้าของความชั่ว บาปทั้งหลายทั้งปวง มีหลักธรรมสำหรับแก้จริตทั้ง 6 ดังได้เสนอผ่านมาแล้ว
สติปัฏฐาน 4 เป็นทางเดียว เป็นทางบริสุทธิ์ที่ทำให้มนุษยชาติพ้นจากราคะ*/โลภะ โทสะ และโมหะ พ้นจากความโศก ความคร่ำครวญ กำจัดทุกข์กาย ทุกข์ใจ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ถูกต้อง ด้วยการทำพระนิพพานให้แจ้ง
ได้โปรดศึกษาความพิสดารเรื่อง "สติปัฏฐาน 4" ได้ใน "สวดมนต์แปล" ของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระศาสนโศภณ (แจ่ม จตฺตสลฺโล) วัดมกุฏกษัตริยาราม (หน้า 130-463) และ "พระไตรปิฎกฉบับประชาชน" ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (หน้า 336-337), พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ (ฉบับภาษาบาลี) หน้า 325-351, หนังสือ "นวโกวาท" พระนิพนธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส พิมพ์ครั้งที่ 74/2525 หน้า 34.

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แดนเนรมิต





















ย้อนเวลาไปกับแดนเนรมิต
แดนเนรมิต (Magic Land) เป็นสวนสนุกกลางแจ้งตั้งบนเนื้อที่ 33 ไร่ริมถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เยื้องกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2519 มีเครื่องเล่นจากต่างประเทศกว่า 30 ชนิด ต่างจาก แฮปปี้แลนด์ สวนสนุกที่เปิดดำเนินการในช่วงเดียวกัน ซึ่งใช้เครื่องเล่นล้าสมัยกว่า

แดนเนรมิตมีจุดเด่นคือมี ปราสาทเทพนิยาย ตั้งอยู่ตรงทางเข้า สร้างเลียนแบบปราสาทเทพนิยายของสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ (และปราสาทนอยส์ชวานสไตน์ ที่เยอรมนี) มีเครื่องเล่นที่เน้นความตื่นเต้นเร้าใจทั้ง รถไฟเหาะ เครื่องเล่นโมโนเวล เรือไวกิ้ง หรือสัตว์โลกล้านปี โดยมีพาเหรดแฟนตาซีดึงดูดเด็กๆ

แดนเนรมิตปิดดำเนินการลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากหมดสัญญาเช่าระยะเวลา 25 ปี และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง อีกทั้งยังต้องลงทุนกับเครื่องเล่นใหม่ๆ นอกจากนี้บริษัทเจ้าของแดนเนรมิตยังมีภาระต้องบริหารสวนสนุกดรีมเวิลด์อีกแห่งหนึ่ง เครื่องเล่นที่มีอยู่ถูกรื้อถอนไป คงเหลือเพียงปราสาทเทพนิยาย ที่ยังคงตั้งอยู่

พื้นที่แดนเนรมิต ปัจจุบัน เปิดเป็นสนามแข่งรถโกคาร์ต
สนุกสุดแสน เที่ยว...แดนเนรมิต !!!! ยังจำสวนสนุกแห่งนี่้ได้มั๊ย...?


สนุกสุดแสน เที่ยว...แดนเนรมิต !!!! ยังจำสวนสนุกแห่งนี่้ได้มั๊ย...?


สนุกสุดแสน เที่ยวแดนเนรมิต
โอ๊ย! รถติดอีกแล้ว.. กรุงเทพเมืองฟ้าอมร ที่การจราจรไม่เคยเคลื่อนที่มี่แต่ที่จะชะงักอยู่กับที่โดยเฉพาะวันฝนตกรถก็ ยิ่งติด ชีวิตคนกรุงชั่งบัดชบจริงๆเลย วันนี้ก็คงเป็นอีกวันหนึ่งที่เราต้องโหนอยู่บนรถเมล์เพื่อที่จะเดินทางกลับ บ้านหลังจากเพลิดเพลินกับการเดินเล่น ชอปปิ้งที่ห้างดังที่เป็นตำนานอย่างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ผมจำได้เลยว่าเกิดมาก็มาเดินห้างนี้แล้ว เอ่อ...เรียกได้ว่าตั้งแต่สมัยยังคลานอยู่เลย จนโตเป็นวัยรุ่นเลิกเรียนไม่รู้ไปไหนก็ไปเซ็นทรัลนี่หละนะ เซ็นทรัลถือเป็นห้างดังแห่งแรกๆ ในย่านนี้ เรียกได้ว่าเปิดมานานตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังหนุ่มคุณแม่ยังสาวเลยทีเดียว ถ้าเด็กเมืองกรุงไม่เคยมาเยือนห้างนี้ก็คงเชยไม่ต่างกับการที่ไม่รู้จักสยาม หรือเซ็นเตอร์พ้อยต์หรอกนะ
แต่ช่วงสนธยายามเย็นแบบนี้ชั่งรถติดยิ่งกะไร ขึ้นรถเมล์แดงแสนร้อนมาไม่กี่ป้ายก็ติดซะแล้ว ยืนปาดเหงื่อไป ก็เหลือมองไปนอกหน้าต่าง ก็เกิดอาการหวนคิดถึงความหลังขึ้นมาทันที เพราะไปเจอกับปราสาทเทพนิยายที่แสนสวย แต่ทำไมกันเล่าปราสาทเทพนิยายแห่งนี้จึงมาตั้งอยู่หน้าสนามแข่งรถไปได้ คล้ายเป็นเสมือนอนุสรณ์สถานของวัยเยาว์ไงก็ไม่รู้
สนุกสุดแสน เที่ยวแดนเนรมิต ในอดีตคำโปรยโฆษณานี้คงติดหูหลายๆ คนไม่น้อย แดนเนรมิตดินแดนแห่งเทพนิยาย ซึ่งเป็นดินแดนแห่งความฝันจินตนาการอันบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ เปรียบเหมือนดิสนีย์แลนด์ของไทยเป็นสวนสนุกอันดับหนึ่งของไทยเลยก็ว่าได้
ความสนุกที่ไม่รู้จบของแดนเนรมิตตรงหน้าผมแห่งนี้ แม้มันจะเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นไปแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำดีๆ ครั้งวัยเด็กยังคงไม่เลือนหาย ผมยังคงมองเห็นภาพความทรงจำดีๆ ติดอยู่เสมอ ปราสาทเทพนิยายที่มีบรรดาหุ่นจำลองเทพนิยายเรื่องต่างๆ เมื่อเดินไปถึงยอดปราสาทก็จะได้เห็นวิวโดยรอบแถมยังมีเก้าอี้ของราชา ที่ผมยังจำได้ว่าแอบไปเก๊กถ่ายมาตั้งแต่สมัยประถม (ดีใจจัง ค้นรูปนี้เจอแล้วด้วย) อะไรจะหน้าตื่นเต้นไปกว่ารถไฟเหาะ รถไฟเหาะตีลังกาคงไม่มีอีกแล้วแต่สำหรับคนที่ขวัญอ่อนก็ต้องไปนี่เลยบ้านผี สิง ที่หลอกเด็กอย่างผมใจสั่นจนแทบจะกลั้นฉี่ไว้ไม่ไหว
) เป็นที่ครอบครัวจะได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน ชมขบวนพาเหรดตัวการ์ตูนแสนน่ารัก มีม้าหมุนด้วยนะหรือจะไปเล่นแกรนด์แคนยอน ล่องแก่ง หรือจะเป็นเรือเหาะไวกิ้ง ชิงช้าสวรรค์ แถมยังมีเฮอริเคน เรือถีบ บ้านตุ๊กตา เมืองเด็กเล่นโดยมีอีกสารพัดให้เลือกเล่น แม้ว่ามันจะไม่อลังการทันสมัยเหมือนเครื่องเล่นสมัยนี้ แต่ก็สร้างความหรรษาให้เด็กอย่างผมได้
แต่แล้วกาลเวลาก็ได้พรากดินแดนเทพนิยายแห่งนี้ไป อย่างไม่มีวันหวนคืนเมื่อถึงเวลาที่แดนเนรมิตจะต้องอำลาจากไป แต่มันก็เป็นความทรงจำดีๆในวัยเด็กที่พอพูดถึงแดนเนรมิตทีไร คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมคงจะมีเรื่องคุยกันสนุกสนานกันได้เสมอ ส่วนเด็กรุ่นหลานเฮ้ย..! รุ่นน้องก็คงจะรู้จักสวนสนุกอื่นๆ อย่างดรีมเวิลล์ หรือสวนสนุกตามห้างสรรสินค้าที่คงทดแทนความสนุกครั้งเยาว์วัยไม่ได้สินะ
Idea เฮ้อ...รถเลื่อนแล้ว ความสนุกของผมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วละ กับการโหนรถเมล์ที่แล่นไม่ต่างกับรถไฟเหาะที่แดนเนรมิต(ถ้ารถไม่ติด พี่จะบิดสุดๆไปเลย) การเดินทางของผมยังไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับความทรงจำสีจางที่แดนเนรมิตของผมก็ยังจะคงอยู่ตลอดไป..staytune



ข้อมูลจำเพาะ
- แดนเนรมิตตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่าทุ่งบางเขน ด้วยเงินลงทุนเริ่มแรกกว่า 100 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 33 ไร่ โดยเปิดทำการครั้งแรกวันที่ 29 มกราคม 2519 และปิดทำการลงเมื่อ 31 ธันวาคม 2543
- ด้วยสถิติกว่า 8หมื่นคนในวันเปิดทำการ โดยเปิดทำการทุกวัน บัตรรวมเครื่องเล่นราคา 270 บาท บัตรผ่านประตู 120 บาท
- นอกจากแดนเนรมิตแล้วยังมีสวนสนุกดีๆอย่าง แฮปปี้แลนด์ (สวนสนุกรุ่นพ่อ) ที่เหลือแต่ชื่อ สวนสยาม สวนน้ำจืดแห่งแรก เป็นเสมือนเทเลกรุงเทพ (ลองชิมน้ำจืดไม่เห็นจะเค็มทะเลอะไร) ที่มีสไลเดอร์สูงสุด พร้อมเครื่องเล่นหลากหลายชนิด

เป็นอย่างไรท่านจำช่วงเวลาเก่าสมัยนั้นได้มั๊ย ช่วยบอกกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พระอาจารย์.ชาญ ชาโน

บทสวดก่อนนั่งแก้กรรมฐานคลี่คลายฯ แบบง่ายๆไม่อ้อมค้อม
ให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วนึกถึงหลวงปู่เงิน วัดบางคลาน ,หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
,หลวงปู่หรุ่น เก้ายอด ,หลวงปู่เคลือบ วัดหนองกระดี่ และหลวงพ่อชาญ ชาโน และขอนั่งสมาธิคลี่คลายกรรมและถวายกรรมเวร ขอให้ครูบาอาจารย์จงคุ้มครอง แล้วนั่งเลย ตั้งใจนั่งสูดลมหายใจยาวๆ พอง-ยุบๆๆๆๆๆ ไปเลื่อยๆ จับลมหายใจแม่นๆ รับรองได้ผลชัวร์


พระสงฆ์นำชัยคุ้มภัยใต้ กับคณะพระสงฆ์ 340 รูปที่สมัครไปจำพรรษาที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
ผู้อ่าน : 469 , 15:38:45 น.
พิมพ์หน้านี้

พระอาจารย์.ชาญ ชาโน จากสำนักสงฆ์ป่ากลางบุญ ทำพิธีสำรวจกรรม และตัดเคราห์ ให้กับบรรดาพระสงฆ์ที่สมัคร ไปจำพรรษา กับวัดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในโครงการพระสงฆ์นำชัยดับไฟใต้ ตามดำริของ
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี น่าภมิใจที่ปีนี้
มีพระสงฆ์สมัครสูงถึง 340 รูป ที่วัดดอนเมือง







และชวนชมคริปพิธีตัดกรรม ฟัง บทสวดพาหุง เจริญ สติ เพื่อเป็นมงคลแห่งชีวิต

เป็นไงบ้าง พิธีตัดกรรม กุศโลบายของ พระอาจารย์ชาญ ชาโน ผู้ที่เดินทางตามรอยพระพุทธเจ้า

ศึกษา การทำสมาธิ นานกว่า 40 ปี จนเจอ ระหัสผ่าน ของการทำสมาธิ คล้ายกับช่วงที่พระพุทธเจ้า

นั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์

ในเบื้องต้นต้องทนกับ ทุกข์ การปวด เมื้อย เห็บ ชา จนร่างกายทนไม่ไหว คนนั่งสมาธิทุกคนจะต้องเจอ

ตรงนี้อาจารย์ว่าเป็นกรรม ใครจะติด นาน เท่าไร ก็แล้วแต่บุคคล ผมตอนแรกไม่เชื่อ คิดว่าจะลองดี

ก็ขอนั่งกับเขาบ้าง เพราะตรงนี้คาใจตั้งแต่บวชเป็นสามเณร ที่วัดป่าแดนสงบ จ.นครราชสีมา นั่งอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ ก็แล้ว ไม่เข้าใจ เวลานั่งเมื่อย เป็นเหน็บก็จะหมด ทนไม่ได้

แต่ อ.ชาญ ช่วยแนะให้ หายใจเข้า เต็มปอด ออก หมดปลอด เท่านี้ แรกๆก็นั่งหลับตาขำ ประมาณ 30 นาที

แต่พอขาชาแล้ว มันเจ็บ ปวด มาก ๆ ตอนนี้ร่างกายจะกระดุ๊ก กระดิ๊ก อ.ชาญ บอกว่าเริ่มแล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะธรรมะก็คือธรรมชาติ หายใจแรงๆ ออกแรงๆ ยิ่งหายใจเร็วก็รู้สึกว่า เลือดเริ่มขยับ

ผมก็เร็งหายใจเข้าออก แรง เร็วขึ้น ความรู้สึกว่าเลือดมันเริ่มแล่น ตอนนี้มันเหมือนเราตกน้ำ จะจมน้ำให้ได้

ต้องพยายามเอาตัวรอดให้ได้ ทุกวิถีทาง มันทรมารมากๆ แต่ไม่น่าเชื่อสมาธิตรงนี้ผมมีประมาณ 10 นาที

ขาที่แข็ง ชา ปวด กลับหายเป็นปกติ ร่างกายรู้สึกโล่ง ไม่นึกอะไร ไม่เห็นอะไร ตัวเองรู้สึกถูกปลดปล่อย

ผมประมาณการว่า ในเมื่องร่างกายเร่งให้หายใจเร็ว เพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจน เพิ่มกระบวนการเมดตาบอริซึ่ม

ทำให้ร่างกายเกิดพลัง หนึ่งขึ้นมา เหมือนนักกีฬา ที่แข่งขัน ถ้าเราฝึกบ่อยๆ พลังดังกล่าวก็สามารถเจอกันได้

ความเข้าใจก็คิดว่าตรงนี้ มันเหมือนวิชาเดินรมปรานหรือเปล่า ก็ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่ม เป็นจริงๆ

ตั๊กม๊อ ผู้สร้างวัดเส้าหลิน ได้ใช้เคล็ดการเดิน และกำหนดลมหายใจตรงนี้ ในการสร้างพลังลมปราน

ผมกลับมาเจออ.ชาญ อีกครั้งที่วัดดอนเมือง เนื่องจากตอนที่ ไปลองดี เป็นช่วงที่บังเอิญ และไม่มีเวลา

ที่จะได้แลกเปลี่ยน หลังจากได้ปฏิบัติ แล้วท่านต้องเร่งกลับวัด มาเจอครั้งนี้ก็ได้แลกเปลี่ยน และได้ความรู้เพิ่ม

ว่า ถ้าเราพ้นทุกข็ เวทนาตรงนี้ได้ พยายามนั่งต่อจะเป็นสมาธิที่ดี แต่อย่าไปอวดอ้างว่าเห็นอะไร เจอเฉพาะตนเท่านั้นใครทำได้เท่าใดก็เป็นเรื่องเฉพาะปัจเจก

ผมจึงนำเรื่องราวมาฝากเพื่อนๆชาวบลอค สำหรับคนที่เคยนั่ง สนใจ หรือต้องการศึกษาความรู้เรื่องนี้

มันเป็นวิทยาศาสตร์ และธรรมชาติ ส่วนเรื่องฟันมือ ผมก็สัมผัสมาแล้ว แต่เจ็บ เรื่องนี้ไม่ลบหลู่




ประวัติพระอาจารย์ชาญ ชาโน สำนักสงค์ป่ากลางบุญ




ลพ.ชาญ ชาโน พระผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี แ่ก่บันดาศิษย์ทั้งหลายไม่เลือกชั้น วรรณะแต่อย่างใด ท่านเป็นพระที่อยู่ป่า พำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์ป่ากลางบุญเพียงรูปเดียว....ท่านได้ค้นพบกฏเกณฑ์ธรรมชาติ คือวิชาคลี่คลายกรรมทางจิต ท่านบอกว่า ..."ธรรมะคือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ วัตถุมงคลไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากรรม"....
ลพ.จำพรรษาอยู่ที่ สำนักสงฆ์ป่ากลางบุญ ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค์
ประวัติ
หลวงพ่อชาญ ชาโน เกิดเมื่อวันอังคาร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2495 ปีมะโรง ณ บ้านบางรายใต้ อ.โพทะเล จ.พิจิตร นามสกุลเดิม"โตนุ่ม" เป็นบุตรคนโต ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน ของคุณพ่อเฉลย และคุณแม่แหยม โตนุ่ม เมื่ออายุได้ 8 ขวบ โยมพ่อได้นำไปไว้กับหลวงปู่เคลือบ วัดดงเสือเหลือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นองค์เดียวกับวัดหนองกระดี่ จ.อุทัยธานี เนื่องจากทางบ้านมีกรณีพิพาทกับเพื่อนบ้านเรื่องการถือครองที่ดิน และโยมพ่อก็ได้รับการรดน้ำมนต์จากหลวงปู่เคลือบ จึงรอดพ้นจากภยันตรายจากกรณีดังกล่าวได้
ครั้งแรก หลวงพ่อชาญชาโนท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาฝ่ายมหานิกาย ณ วัดสุวรรณาราม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อมา หลวงพ่อชาญ ชาโน ได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมยุต ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร แขวง และแขต พระนคร กรุงเทพฯ โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหารัชมงคลดิลก สมศักดิ์ในขณะนั้นเป็นพระเทพกวี เป็นพระอนุสาสนาจารย์ หลังอุปสมบทแล้ว หลวงพ่อชาญ ชาโน ได้เฝ้าถวายการรับใช้พระอุปัชฌาย์อยู่ระยะหนึ่งก็ได้ทูลลาองค์พระอปัชฌาย์ออกปลีกวิเวกแสวงหาแนวทางปฏิบัติ เพื่้อการหลุดรอดวัฏสงสารตามอุปนิสัยดั้งเดิมของท่าน องค์สมเด็จพระอุปัชฌาย์ก็ทรงยินดีและอนุโมทนา ทรงอนุฐาติให้ตามความประสงค์ของหลวงพ่อชาญ จากนั้นท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆที่เห็นสมควรเพื่อปฏิบัติธรรม
ลพ.ชาญ ชาโนเมื่อสมัยท่านยังเป็นเด็กนั้น ท่านก็เป็นอยู้แถวๆจังหวัดนครสวรรค์กับโยมบิดาของท่าน และต่อมาโยมบิดาของท่านได้นำตัวท่านไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์พระเกจิอาจารย์ดังรูปหนึ่งก็คือ หลวงปู่เคลือบวาจาสิทธิ์ แห่งวัดหน่องกระดี่ จังหวัดอุทัยธานี และแห่งวัดดงเสือเหลือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นองค์เดียวกัน
หลวงปู่เคลือบนั้น เท่าที่ทราบจากหลวงพ่อชาญ ชาโน ท่านบอกว่าเป็นพระที่เก่งมากทั้งทางกรรมฐาน และหยั้งรู้ดินฟ้าและมีอาคมแก่กล้ามาก แม้แต่ลพ.เคลือบเดินผ่านสายฝนที่โปรยลงมา อย่างหนังก็ไม่ทำให้จีวรของท่านเปียกฝนแต่ประการใด ไม่เพียงแต่เท่านี้หลวงปู่เคลือบยังมีวาจาศักดิ์สิทธิ์เอามากๆจะเห็นได้จากผู้คนที่เคารพเลื่อมใสในหลวงปู่เคลืบย่อมจะรู้กกิตติศัพท์ของท่านดี ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และเข้มขลังจะเห็นได้จากผู้คนที่บนบานศาลกล่้าวหลวงปู่เคลือบปีละ 1 ครั้ง คือวันสงกรานต์ในวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี โดยจะแก้บนด้วยเหล้าขาว 40 ดีกรีจำนวน 10 ขวดพร้อมมะขามเปียกและเกลือเม็ด จำนวนหนึ่งตลอดมา
ตอนเด็ก หลวงพ่อชาญท่านเอาไว้จุก ลพ.เคลือบท่านเรียกไอ้จุก วันหนึ่งขณะนั้นหลวงพ่อชาญอายุประมาณแปดขวบ หลวงพ่อเคลือบได้พูดกับหลวงพ่อชาญว่า ไอ้จุก ถ้าเองเห็นนางฟ้าก็นั้งสมาธิบ่อยๆนะลูก เมื่อท่านได้ฟังหลวงปู่เคลือบได้พูดเช่นนั้นท่านก็ลองนั้งสมาธิดูและท่านก็ได้นั่งเรื่อยๆมาตอลด และท่านก็เพียรนั่งทุกวันเมื่อถึงเวลาค่ำ เพราะอยากดูนางฟ้า และสิ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยก็คือหลวงปู่เคลือบได้สอนวิชาอาคมให้กับท่านและสอนให้ทุกวิชาซึ่งหลวงพ่อชาญ ก็ได้เรียนและจดจำได้อย่างแม่นยำจนถึงปัจจุบันนี้และอยู่มาวันหนึ่งลพ.เคลือบได้พุูดกับหลวงพ่อชาญว่า ไอ้จุก ถ้าเองบวชแล้วมาสอนธรรมะแถวนี้บ้างนะ หลวงพ่อเคลือบท่านพูดเหมือนท่านจะทราบร่วงหน้าว่าหลวงพ่อชาญ นั้นจะได้บวชเป็นพระอย่างแน่นอน และต่อจากนั้นมาหลวงพ่อก็ได้ถามลพ.เคลือบว่าจะได้บวชเมื่อไหรล่ะ หลวงพ่อเคลือบได้ยินดังนั้นก็บอกว่า เองยังบวชไม่ได้หรอกเองต้องใช้กรรมก่อน นะลูกอยู่มาอีกวันหนึ่งหลวงปู่ได้พูดว่า เอยไอ้จุกเตรียมตัวไว้นะพ่อเองจะมารับกลับแล้วนะ...แล้ววันรุ่งขึ้นพ่อก็มารับท่านกลับจริงๆแต่ท่านก็ได้นึกถึงคำพูดของหลวงปู่เคลือบในเรื่องของการนั้งสมาธิมาโดยตลอด โดยไม่ได้ทอดทิ้งเลย จนกระทั้งเติบใหญ่เป็นหนุ่มก็อยังไม่ละเลยการปฏิบัตินั่งสมาธิมาโดยตลอด




ข้อความ : โดยท่านได้ถือศีลกินเจเลื่อยมาและบางครั้งท่านก็ออกเดินธุดงค์ตามแนวชายแดนบ้าง ตามป่าช้าบ้างแล้วแต่โอกาศจะอำนวยให้ไปตามถ้ำ ตามภูเขาลำเนาไพร ตามชายแดน ท่านเองก็ต้องผจญกับภัยต่างๆมากมาย ต่อมาวันหนึ่งท่านได้มีวาสนาพบกับเกจิอาจารย์ผู้เรืองเวทย์ อาคมขลัง และขมังเวทย์อีกองค์หนึ่งนั้นก็คือ "หลวงพ่อผล จันทโน" แห่งวัดสวนขวัญ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ ลพ.ผลองค์นี้ท่านเป็นพระปฏิบัติที่มีจิตแก่กล้ามาก และมีอาคมเข้มขลังเป็นอย่างยิ่งอีกองค์หนึ่ง ตามประวัตินั้นท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเก็บ และ หลวงพ่อ อ่อง ซึ่งสมัยก่อนนั้นคนรู้จักหลวงพ่อสององค์นี้เป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นหลานหลวงปู่ศุข แห่งวัดป่ากคลองมะขามเฒ่าซึ่งหลวงพ่ออ่องท่านจะเก่งในทางเรื่องผูกหุ่นพยนต์ และมีดหมอ ส่วนหลวงพ่อผลนั้นท่านจะเก่งกาจในด้านอาคมเข้มขลังเป็นอย่างยิ่งและยังมีกสิณที่ยอดเยี่ยม กล่าวคือ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อชาญ ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อผลนั้นท่านได้พบเห็นมากับตาตัวเองเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก คือว่าเมือหลวงพ่อได้หยิบกาน้ำมาให้หลวงปู่ท่านบอกว่าน้ำไม่ร้อนจะเอาไปต้มให้แต่ว่าลุง ผิว ซึ่งเป็นคนปรนนิบัติหลวงพ่อผลได้ยินแกก็ร้องบอกว่า"โอ๊ย"ไม่ต้อง...วางไว้เฉยๆเดียวน้ำร้อนเอง (น้ำในกา)หลวงพ่อชาญท่านได้ยินเช่นนั้นท่านก็วางกาไว้เฉยๆและท่านได้เห็นลพ.ผลเอามือแตะกาน้ำไม่กี่ครั้ง และไม่กี่นาทีน้ำก็ร้อนขึ้นมาทันที นี้คือสิ่งที่ลพ.ชาญได้พบเห็นมาดวยตาตัวเอง และวันต่อมาลพ.ผล และ ลพ.ชาญ ได้สนทนากันอยู่นาน แล้ว ลพ.ผลก็ได้พูดขึ้นมาว่า ชาญ เอ้ย มึงมีวาสนาร่วมกันกับกูนะลูก ลพ.ชาญได้ยินดังนั้นก็ถามว่ามีวาสนาอะไรหรือครับหลวงพ่อ เอ้า ดูสิ เนี่ยกูเป็นอะไรเล่า ก็กูเป็นพระ ก็ได้แต่ทำให้ลพ.ชาญ ได้ยิ้มๆไม่ได้คิดอะไรมาก และต่อมาหลวงพ่อผลได้พูดกับหลวงพ่อชาญ ว่า ชาญ เอ่ยมึงเป็นคนดีนะลูก จากวันนี้แล้วมึงไม่ได้เจอกูอีกแล้วนะ
คำพูดหลวงพ่อผลนั้นเสมือนหนึ่งท่านได้รู้ล่างหน้า คงไม่ได้พลกับลูกศิษย์อีกแน่นอนและก็เป็นจริงตังว่า พอลพ.ชาญลากลับในวันนั้นลพ.ผล ก็สั้งไว้ว่ามึงขับรถไปอย่าหยุดเดียวฝนก็จะตามตูดมึงไปเลื่อยๆนะ อย่าหยุด หลวงพ่อชาญก็ได้พบอีกครั้งหนึ่งว่าฝนตกตามท้ายรถของท่านไปไม่ถึงสองวา แต่ก็ไม่โดนตัวท่านเลยจนถึงบ้าน และท่านก็ได้กลับไปหาลพ.ผลอีกครั้ง ปรากฏว่าท่านได้มรณภาพแล้วซึ่งเป็นไปตามที่ท่านพูดไว้วันนั้นว่าจากกันครั้งนี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะลูก นี้ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่หลวงพ่อชาญ เคารพบูชามากเพราะได้เรียนวิชาอาคมมาจนหมดไว้ว่าจะเป็นเรื่องคนกระพันชาตรีซึ่งหลวงพ่อผลก็สุดยอดเช่นกัน ต่อมาลพ.ชาญ ท่านก็ได้เดินธุดงค์ไปเลื่อยๆ ตอนนั้นยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ท่านเดินป่าฝ่าดงไปทางแถว อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ก็ได้พบกับ ลพ.คง วัตตมโล แห่งวัดเขาสมโพชน์ และท่านทั้งสองได้สนทนาธรรมกัน ลพ.คงท่านได้พูดกับหลวงพ่อชาญว่า ชาญ เอ๊ย มึงมีวาสนาร่วมสกาวพัสต์ เดียวกันนะ และท่านก็บอกกับลพ.ชาญว่า คนเราตายกันเป็นหมู่คณะ เป็นเปรตกันเยอะ มึงเอาคำภาวนา "พอง" "ยุบ" ไปให้นะ และลพ.ชาญ ก็ได้กราบ นมัสการลาหลวงพ่อคงกลับมาทำงานตามปกติ ดังนั้นอาจารย์ท่านทั้งสามรูปคือ ลพ.เคลือบ...ลพ.ผล ...ลพ.คง ร้วนเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้า และเป็นผู้หยั้งรู้รวงหน้าถึงอนาคต ของหลวงพ่อชาญ เป็นอย่างดี ในเรื่องของการบวชเป็นพระของท่าน ลพ.ได้บอกว่าอาจารย์ที่ท่านได้ร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆมานั้นมีทั้งหมด 54 อาจารย์

ครูบาอาจารย์ ลพ.ชาญ ชาโน
1.หลวงปู่เคลือบ เป็นคนมอญสักเงี้ยวครึ่งท่อนมีโรคประจำตัว คือหืดหอบ และริดสีดวง ชอบอมเม็ดมะขามทางแก้มซ้าย เดิมอยู่ที่วัดหนองหญ้านาง ถูกชาวบ้านแถวนั้นขับไล่ จึงได้ไปอยุ่ที่วัดดงเสือเหลือง จ.พิจิตร และกลับไปสร้างหอประชุมที่วัดหนองกะดี่ จ.อุทัยธานี และกลับไปอยู่ที่วัดดงเสือเหลือง ทุดท้ายได้มรณะภาพที่วัดแห่งนี้




ข้อความ : รูปภาพที่ลพ.ไปตัดพระเคราะห์ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ให้ทหาร......







ข้อความ : รูปภาพที่ลพ.ไปตัดพระเคราะห์ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ให้ทหาร......






ข้อความ : รูปภาพที่ลพ.ไปตัดพระเคราะห์ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ให้ทหาร



ข้อความ : รูปภาพที่ลพ.ไปตัดพระเคราะห์ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ให้ทหาร......



ข้อความ : ประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อชาญ ชาโนครับ.................





ข้อความ : กระสุนผ่านกางเกงยีนขาดเป็นรูแต่ไม่สามารถผ่านเข้าไปทำอันตรายถึงชีวิตได้...โดนยินโดย .38 หัวระเบิดแปดนัดแต่ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตเลย.........เป็นเพียงรอยจุดใหม้เล็กน้อยเท่านั้น.................



ข้อความ : มีเพียงนัดแรกที่เข้าไปฝังใต้เข็มขัดเท่านั้น...เป็นรอยใหม้สวนนัดอื่นเป็นแต่เพียงรอยใหม้เท่านั้นซื่งโดนยิงถึงแปดนัดด้วย .38 หัวระเบิด....ไม่สามารถทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลย.....


คลี่คลายกรรมวิปัสนาตัดพระเคราะห์(ธรรมะปฏิบัติพระอรัญญวาสี)

โดย พระอาจารย์ชาญ ชาโน

สำนักสงฆ์วัดป่ากลางบุญ เลขที่ 17 หมู่ 5 ต.เขาทอง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ (ตรงข้ามการประปาภูมิภาคเขาทอง)

พระอาจารย์ชาญ ชาโน

- เป็นศิษย์หลวงพอ่เงิน วัดบางคลาน ,หลวงพ่อเคลือบ ฯลฯ

- พระเกจิ ร่วมปลุกเสกหลายรุ่นหลายที่ ติดตาประทับใจ คือที่วัดบางคลานหลวงพ่อเงิน ปี 45 เสกเสร็จ... แจก แล้ว สับ ฟัน เฉือน ให้กับลูกศิษย์ที่รับวัตถุมงคล

- แจกวัตถุมงคลให้กับทหาร 3 จว.ภาคใต้(หนึ่งเดียวเท่านั้น)

- ออกทีวีหลายช่องหลายรายการ เช่น ช่อง 7 ช่อง 9 ฯลฯ

**การตัดพระเคราะห์ไม่ได้ลองของหรือแสดงคุณวิเศษแต่ประการใด ทำตามเรียนครูอาจารย์มา หมายถึงเหตุจะเกิดมันต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วหนัก เป็นเบา เบาเป็นหาย เป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละบุคคล**



ติดต่อสอบถามได้ที่ 08-6050-4387 คุณสุธามาศ



ผู้ฝากข่าว ภานุวัฒน์ 08-9959-8411....ลูกศิษย์พระอาจารย์ชาญ ชาโน


เรียนถามลูกศิษย์

มีหลายคนเป็นศิษย์หลวงพ่อชาญ ชาโน ผมสงสัยว่า ท่านต้องการสอน หรือหลักจริงๆ ที่ท่านได้สอนคืออะไร กราบเรียนถาม...

1. สอนอะไร 2. สอนเพื่ออะไร 3. สอนแล้วได้อะไร 4. สอนแล้วใช้ยังไง 5. สอนไปใช้กับอะไร

6. จุดจบคืออะไร


กราบเรียน ผู้อ่านกระทู้

ผมเป็นหนึ่งในศิษย์หลวงพ่อชาญ ชาโน การปฏิบัติต้องรุ้ที่มาที่ไป และผมเชื่อว่าทุกคนมีธาตุรู้ด้วยกันทั้งสิ้น ผมเข้าใจว่ามีหลายคนเป็นศิษย์ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าศิษย์ จะเก่งกว่า หรือได้รับอะไรมากกว่า ต้องกราบเรียน และตอบข้อซักถาม โดยสังเขป 1. สอนอะไร สอนหลักธรรมชาติ 2. สอนเพื่อ ให้รู้จักเอาตัวรอด

3. ได้อะไร ได้วิชา ความรู้ 4. ใช้ ได้ทุกขณะจิต

5. ใช้กับ ตัวเอง 6. สะอาด คือจบ

--- การปฏิบัติเรียนรู้ ไม่ได้หมายถึงว่า ทุกคนต้องบรรลุ และได้สิ่งที่ต้องการเสมอไป หากผู้ใดสนใจ กรุณาถามตนเองก่อนว่า...พร้อมหรือยังกับการปฏิบัติ การอ่านหนังสือ ทำให้คนฉลาดก็จริง การเดินทางไปทั่วทิศ ทำให้คนเรียนรู้มากขึ้นก็ใช่ แต่...การลงมือปฏิบัติ ย่อมดีว่าทุกสิ่ง หากท่านพร้อมขอแนะนำปิดตำรา หยุดเดินทาง แล้วลงมือปฏิบัติ

---- ขออนุโมทนา และหวังว่าผู้ใดสนใจ ในทางธรรมเดียวกันจะโคจรได้พบเจอกัน

ประสิทธิ์

ขอรบกวนถาม

ทราบว่าจะมีการทำพิธีไหว้ครูในวันที่ 7 พค.ที่จะถึงนี้ เคยตั้งใจจะไปร่วมพิธีคลี่คลายกรรม เพราะศรัทธาในหลวงพ่อ เมื่อเดือนมี.ค.แต่พลาด (รถเต็ม จองไม่ทัน) จึงอยากทราบว่าในวันไหว้ครูนี้ ดิฉันที่ยังไม่ได้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ จะไปร่วมพิธีได้ไหมคะ (ควรหรือไม่)แล้วในพิธีมีอะไรบ้าง เริ่มพิธี กี่โมง จนถึงตอนไหน (ไปจาก กท.) ตั้งใจจะเอารถไปเอง ในวันนั้นจะมีพิธีคลี่คลายกรรมด้วยรึป่าว ต้องเตรียมตัว แต่งกายอย่างไรคะ

ขอเชิญร่วมงานพิธีไหว้ครู (พระอาจารย์ชาญ ชาโน)

ในวันที่ 7 พ.ค. 2552 ตั้งแต่เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป

...แต่งตัวตามสบายครับ แต่ขอความกรุณาอย่าโป๊ครับ.. หนึ่งปี มีครั้งเดียวครับ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ดนัย เนียมหอม

ชื่อ : ดนัย คำอ่าน : ดะนัย คำแปล : ลูกชาย [เพศ : ชาย]
เกิดวันพุธ (กลางวัน) ชื่อมีทั้งหมด 4 ตัวอักษร รวมชื่อกับนามสกุลแล้วได้กำลังพระเคราะห์ 61
แยกตัวอักษรจากชื่อคุณดนัยแล้วมีรายละเอียดดังนี้

1. มี ด เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 1]
2. มี น เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 5]
3. มี ไม้หันอากาศ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ
ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 4]
4. มี ย เป็น ศรี เป็นอักขระที่ช่วยเสริมสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักและศรัทธาในตัวเจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 8]

สรุปจำนวนทักษาทั้ง ๘ ในชื่อของคุณดนัย มีอักขระที่เป็นบริวาร 0, อายุ 2, เดช 0, ศรี 1, มูละ 0, อุตสาหะ 1, มนตรี 0, กาลกิณี 0

คำอธิบายเกี่ยวกับทักษาของคุณดนัย
บริวาร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ข้าทาสบริวารชายหญิง คนในบ้านผู้ที่อยู่ในอุปการะ ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหายของตน (ชื่อคุณมีบริวาร 0)
อายุ หมายถึง อายุ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน หากนำตัวอักษรที่มีทักษานี้มาตั้ง เชื่อกันว่าทำให้มีอายุยืนยาว (ชื่อคุณมีอายุ 2)
เดช หมายถึง อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง (ชื่อคุณมีเดช 0)
ศรี หมายถึง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา (ชื่อคุณมีศรี 1)
มูละ หมายถึง ทุนทรัพย์ หรือมรดก ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า (ชื่อคุณมีมูละ 0)
อุตสาหะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร การประกอบกิจการค้า และการงานอื่นๆ ให้เกิดผลสำเร็จ จากความมีมานะ อุตสาหะของตนเอง (ชื่อคุณมีอุตสาหะ 1)
มนตรี หมายถึง ความเป็นใหญ่ หรือความสำเร็จ ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน (ชื่อคุณมีมนตรี 0)
กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต (ชื่อคุณมีกาลกิณี 0)

สำหรับคุณดนัย ผู้เกิดวันพุธ (กลางวัน)
เสริมดวงทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร-ภรรยา-ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม บริวาร คือพวก ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางการดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อายุ คือ ด ต ถ ท ธ น ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางอำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียง ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม เดช คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงในสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรัก ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม ศรี คือ ย ร ล ว ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางทรัพย์สิน การงาน หลักฐานความเป็นอยู่ ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มูละ คือ ศ ษ ส ห ฬ ฮ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมพลังความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการค้า ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อุตสาหะ คือ สระทั้งหมด ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางความเป็นใหญ่ หรือประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มนตรี คือ ก ข ค ฆ ง ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
หลีกเลี่ยงหรือไม่ควรใช้ อักษรกลุ่ม กาลกิณี คือ จ ฉ ช ซ ฌ ญ ในการตั้งชื่อ คืออย่าให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เป็นมงคล ความอับโชคและอุปสรรคต่างๆ
________________________________________
วิเคราะห์ตามหลักเลขศาสตร์
ชื่อ ดนัย มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 18 [รายละเอียดการแยกชื่อ ด=1 น=5 ไม้หันอากาศ=4 ย=8 ]
นามสกุล เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 43 [รายละเอียดการแยกนามสกุล สระเอ=2 น=5 สระอี=7 ย=8 ม=5 ห=5 อ=6 ม=5 ]
รวมชื่อและนามสกุล ดนัย เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 61
________________________________________
แยกวิเคราะห์ 3 ส่วน คือ 1. ชื่อ 2. นามสกุล 3. ชื่อ + นามสกุล ดังนี้
1. ชื่อ ดนัย
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 18 พลังชีวิตแห่งการเปลี่ยนแปลง

คำทำนายของชื่อ ดนัย (18)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๑๘ เป็นเลขใกล้เคียงกับหมายเลข ๑๗ เลข ๘ ดาวราหูทำลายเลข ๑ ดาวอาทิตย์ จึงทำให้ชีวิตที่เคย รุ่งโรจน์ตกต่ำลงมาได้ ไม่แน่นอนขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ไม่ติดที่ มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ จึงไม่เหมาะกับอาชีพที่ต้องทำงานอยู่ กับที่ ควรหางานที่ต้องเดินทางจะเหมาะกว่า ชีวิตมักจะพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ(ทางร้าย) ทำอะไรต้องรอบคอบ มักจะถูก กดดันและถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจเร้นลับ และผู้มีอำนาจไม่เป็นธรรม ถูกศัตรูปองร้าย ชีวิตครอบครัวมีปัญหาแตกร้าว การทะเลาะ วิวาททำให้ชีวิตต้องตกพุ่มหม้ายหรือไร้คู่ ถ้าเป็นชายจะมี่แม่หม้ายเข้ามาพัวพันในชีวิต จะพบกับความขมขื่นในเรื่องความรัก ผิดหวังต้องพลัดพรากจากกันเสมอ บุคคลเลข ๑๘ ไม่เหมาะกับการทำงานเสี่ยง ถ้าหลีกเลี่ยงได้ควรจะหลีกเลี่ยง หมายเลข ๑๘ ไม่เหมาะสำหรับสุภาพสตรี เพราะจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความรักทุกรูปแบบ เช่น แต่งงานช้า ไม่ได้แต่ง แต่งก็ต้องเลิก ได้ พ่อหม้ายเป็นสามี กินน้ำใต้ศอกคนอื่น เป็นหม้ายก่อนวัยอันควร เลข ๑๘ เป็นเลขที่เกี่ยวกับการทะเลาะอย่างรุนแรง ประสบ ปัญหาครอบครัว รวมไปถึงวงศาคณาญาติ เตือนให้ระวังการทรยศหักหลังการถูกหลอกลวงจากคนที่เป็นเพื่อน และศัตรูใน ร่างเดียวกัน และอันตรายจากหลาย ๆ สิ่ง เช่น พายุ อันตรายจากน้ำ ไฟและระเบิด ชีวิตของบุคคลหมายเลข ๑๘ ช่วงที่เป็น วิญญาณรอการกลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นคนขอไว้เองว่า ขอให้ชาติใหม่นี้ ขอให้ตัวเองมีความทุกข์ มีอุปสรรค ทั้งนี้เพื่อเป็น การทดสอบความอดทน ทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจ คำขอก็เป็นจริง จึงทำให้ต้องได้รับทุกข์ทรมานแบบสุด ๆ และ ทุกรูปแบบ ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ

สรุปย่อๆ : อยู่ไม่ติดที่ มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ไม่สมหวังในเรื่องคู่ครอง เลขนี้ไม่เหมาะสำหรับสุภาพสตรี ให้ระวังการทรยศหักหลังการถูกหลอกลวง
2. นามสกุล เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต

คำทำนายของนามสกุล เนียมหอม (43)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ เป็นเลขอับโชค บ่งถึงความวิปริตมีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ชีวิต ในอนาคตมักจะพบกับความล้มเหลวยุ่งยากและมีทุกข์ภัยอยู่เนืองๆ เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ คือดาวเสาร์ ย่อมบ่งถึงอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว จึงต้องระวังอนาคตเบื้องหน้าไว้ให้ดี อย่าประมาทเป็นอันขาด ชีวิตจะประสบอุบัติเหตุได้ง่าย

สรุปย่อๆ : มีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา มีอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล ดนัย เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 61 พลังบุคลิกซ้อน

คำทำนายของ ชื่อ + นามสกุล ดนัย เนียมหอม (61)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๖๑ เลข ๖ ธาตุลม เลข ธาตุไฟ จึงทำให้บุคคลที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลเลข ๖๑ เป็นคนสองอารมณ์ มีความขัดแย้ง ในตัวเอง บางครั้งมักปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับแสงสีและสิ่งเย้ายวนทางโลกีย์ แต่บางขณะชอบทำตัวเหมือนคนอมทุกข์ หนี สังคม ทำตนเป็นคนสันโดษ ชีวิตของบุคคลหมายเลข ๖๑ จึงมีมุมหักเหได้ง่าย ชอบทำตัวหยิ่งจนคนไม่ชอบหน้าจนบางครั้งสังคมไม่ ยอมรับ บั้นปลายชีวิตมักจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เลข ๖๑บวกกันได้เลข ๗ เลขแห่งความทุกข์ อุปสรรค และปัญหาบั้นปลายชีวิต จะตกต่ำและเหน็ดเหนื่อย

สรุปย่อๆ : ไม่ค่อยดีนัก มีความขัดแย้งในตัวเอง เป็นเลขแห่งความทุกข์ อุปสรรค และปัญหาบั้นปลายชีวิต จะตกต่ำและเหน็ดเหนื่อย
________________________________________
สรุป ชื่อ นามสกุล และผลรวมชื่อ+นามสกุล
1. ชื่อ "ดนัย" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 18 พลังชีวิตแห่งการเปลี่ยนแปลง
2. นามสกุล "เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล "ดนัย เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 61 พลังบุคลิกซ้อน

คำทำนายผลรวม ชื่อ + นามสกุล ได้เลข 61 มีดังนี้ (อ่านเป็นกลอน) [เลข 61 พลังบุคลิกซ้อน ]
เลข ๖๑ นามสกุล หนุนกับชื่อ
ตัวคุณถือ บุคลิก มีอย่างสอง
บางครั้งเศร้า คนเดียว ไม่เกี่ยวข้อง
อย่างที่สอง เที่ยวเฮฮา ยามค่ำคืน
ทำอะไร อุปสรรค มักขวางกั้น
ชีวิตนั้น ดูไม่ค่อย จะราบรื่น
จงระวัง สุขภาพ ทราบจุดยืน
จะขมขื่น ด้วยโรคภัย ไข้เบียดเบียน
หากเปลี่ยนชื่อ จะเสริมดวง ของคุณได้
จะช่วยให้ ดวงคุณนั้น ไม่ผันเปลี่ยน
จะเฟื่องฟู อยู่นาน ไม่ลางเลือน
อย่าแชร์เชือน ดังคำบอก ที่ออกมา
ดวงชะตา ว่าพบสุข สำเร็จได้
แต่หวั่นไหว ด้านอารมณ์ เท่านั้นหนา
เพราะไม่มี คนหนุน ไร้บุญพา
เป็นเพราะว่า โลกส่วนตัว ไม่พัวพันฯ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ชื่อ : ดนัยณัฏฐ์ [ไม่ใส่คำแปล/ไม่ทราบคำแปล]
เกิดวันพุธ (กลางวัน) ชื่อมีทั้งหมด 9 ตัวอักษร รวมชื่อกับนามสกุลแล้วได้กำลังพระเคราะห์ 97
แยกตัวอักษรจากชื่อคุณดนัยณัฏฐ์แล้วมีรายละเอียดดังนี้

1. มี ด เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 1]
2. มี น เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 5]
3. มี ไม้หันอากาศ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 4]
4. มี ย เป็น ศรี เป็นอักขระที่ช่วยเสริมสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักและศรัทธาในตัวเจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 8]
5. มี ณ เป็น บริวาร เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง [มีค่าเป็น 5]
6. มี ไม้หันอากาศ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 4]
7. มี ฏ เป็น บริวาร เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง [มีค่าเป็น 9]
8. มี ฐ เป็น บริวาร เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง [มีค่าเป็น 9]
9. มี ตัวการันต์ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 9]

สรุปจำนวนทักษาทั้ง ๘ ในชื่อของคุณดนัยณัฏฐ์ มีอักขระที่เป็นบริวาร 3, อายุ 2, เดช 0, ศรี 1, มูละ 0, อุตสาหะ 3, มนตรี 0, กาลกิณี 0

คำอธิบายเกี่ยวกับทักษาของคุณดนัยณัฏฐ์
บริวาร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ข้าทาสบริวารชายหญิง คนในบ้านผู้ที่อยู่ในอุปการะ ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหายของตน (ชื่อคุณมีบริวาร 3)
อายุ หมายถึง อายุ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน หากนำตัวอักษรที่มีทักษานี้มาตั้ง เชื่อกันว่าทำให้มีอายุยืนยาว (ชื่อคุณมีอายุ 2)
เดช หมายถึง อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง (ชื่อคุณมีเดช 0)
ศรี หมายถึง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา (ชื่อคุณมีศรี 1)
มูละ หมายถึง ทุนทรัพย์ หรือมรดก ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า (ชื่อคุณมีมูละ 0)
อุตสาหะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร การประกอบกิจการค้า และการงานอื่นๆ ให้เกิดผลสำเร็จ จากความมีมานะ อุตสาหะของตนเอง (ชื่อคุณมีอุตสาหะ 3)
มนตรี หมายถึง ความเป็นใหญ่ หรือความสำเร็จ ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน (ชื่อคุณมีมนตรี 0)
กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต (ชื่อคุณมีกาลกิณี 0)

สำหรับคุณดนัยณัฏฐ์ ผู้เกิดวันพุธ (กลางวัน)
เสริมดวงทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร-ภรรยา-ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม บริวาร คือพวก ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางการดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อายุ คือ ด ต ถ ท ธ น ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางอำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียง ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม เดช คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงในสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรัก ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม ศรี คือ ย ร ล ว ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางทรัพย์สิน การงาน หลักฐานความเป็นอยู่ ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มูละ คือ ศ ษ ส ห ฬ ฮ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมพลังความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการค้า ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อุตสาหะ คือ สระทั้งหมด ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางความเป็นใหญ่ หรือประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มนตรี คือ ก ข ค ฆ ง ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
หลีกเลี่ยงหรือไม่ควรใช้ อักษรกลุ่ม กาลกิณี คือ จ ฉ ช ซ ฌ ญ ในการตั้งชื่อ คืออย่าให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เป็นมงคล ความอับโชคและอุปสรรคต่างๆ
วิเคราะห์ตามหลักเลขศาสตร์
ชื่อ ดนัยณัฏฐ์ มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 54 [รายละเอียดการแยกชื่อ ด=1 น=5 ไม้หันอากาศ=4 ย=8 ณ=5 ไม้หันอากาศ=4 ฏ=9 ฐ=9 ตัวการันต์=9 ]
นามสกุล เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 43 [รายละเอียดการแยกนามสกุล สระเอ=2 น=5 สระอี=7 ย=8 ม=5 ห=5 อ=6 ม=5 ]
รวมชื่อและนามสกุล ดนัยณัฏฐ์ เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 97
________________________________________
แยกวิเคราะห์ 3 ส่วน คือ 1. ชื่อ 2. นามสกุล 3. ชื่อ + นามสกุล ดังนี้
1. ชื่อ ดนัยณัฏฐ์
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 54 พลังมหาราชาโชคความสำเร็จ

คำทำนายของชื่อ ดนัยณัฏฐ์ (54)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๕๔ เป็นเลขที่แสดงถึงนิมิตแห่งความสำเร็จ ชีวิตมักจะได้คุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนรู้ง่าย มีสติ ปัญญาแตกฉานเข้าใจอะไรได้งาย อุปสรรคในชีวิตมีน้อยแต่ต้องระวังอุบัติเหตุจากยานพาหนะ และระวังเรื่องเกี่ยวกับสายตา เพราะเลข ๕๔ บวกกันได้ ๙ ดาวเกตุธาตุลม

สรุปย่อๆ : เป็นมงคลแก่ชีวิตยิ่งที่ได้ชื่อนี้ เพราะรวมกันได้ ๙ พอดี เรื่องงาน ความรัก และอื่นๆ สำเร็จสมปรารถนา จะมีตำแหน่งสูง คนเคารพนับถือ ปัญญาดี เรียนอะไรก็แตกฉาน มีคนคอยค้ำจุนหนุนส่ง ไม่มีทางตกต่ำหรือขาดแคลน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
2. นามสกุล เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต

คำทำนายของนามสกุล เนียมหอม (43)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ เป็นเลขอับโชค บ่งถึงความวิปริตมีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ชีวิต ในอนาคตมักจะพบกับความล้มเหลวยุ่งยากและมีทุกข์ภัยอยู่เนืองๆ เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ คือดาวเสาร์ ย่อมบ่งถึงอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว จึงต้องระวังอนาคตเบื้องหน้าไว้ให้ดี อย่าประมาทเป็นอันขาด ชีวิตจะประสบอุบัติเหตุได้ง่าย

สรุปย่อๆ : มีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา มีอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล ดนัยณัฏฐ์ เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 97 พลังความรุ่งโรจน์

คำทำนายของ ชื่อ + นามสกุล ดนัยณัฏฐ์ เนียมหอม (97)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๙๗ เป็นเลขสำเร็จอีกเลขหนึ่ง ชีวิตจะก้าวหน้ารุ่งโรจน์ดีมีสมัครพรรคพวกมาก มักเข้มแข็ง ในการทำงาน มีสมรรถภาพดีเยี่ยม เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องยำเกรง แต่ในชีวิตต้องระวังอุบัติเหตุ อาจถูกปองร้าย จากกรรมเก่า เลขคู่ปานกลาง

สรุปย่อๆ : เป็นเลขดีชีวิตมีความรุ่งโรจน์ เหมือนฟ้าประทาน ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน ค้าขายได้กำไร ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีคนเคารพนับถือ มีเกียรติในสังคม มีเพื่อนมากมาย แต่ควรระวังเรื่องอุบัติเหตุ อย่าประมาท ควรทำบุญสะเดาะเคราะห์จะเสริมดวงชะตาได้มาก
________________________________________
สรุป ชื่อ นามสกุล และผลรวมชื่อ+นามสกุล
1. ชื่อ "ดนัยณัฏฐ์" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 54 พลังมหาราชาโชคความสำเร็จ
2. นามสกุล "เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล "ดนัยณัฏฐ์ เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 97 พลังความรุ่งโรจน์
________________________________________
คำทำนายผลรวม ชื่อ + นามสกุล ได้เลข 97 มีดังนี้ (อ่านเป็นกลอน) [เลข 97 พลังความรุ่งโรจน์ ]
เลข ๙๗ ชี้ให้เห็น เด่นรุ่งโรจน์
เหมือนฟ้าโปรด ให้ชีวิต นี้สดใส
แม้คิดทำ การงาน ด้านใดใด
ก็จักได้ ความสำเร็จ เป็นอย่างดี
การค้าขาย ผลกำไร ได้ดีอยู่
จะมีผู้ เคารพ ในศักดิ์ศรี
จะได้เป็น นายคน มีผลดี
ชอบเฮฮา ปาร์ตี้ เพื่อนมากมาย
สิ่งระวัง คือเรือง อุบัติเหตุ
เตือนด้วยเดช อย่าประมาท ให้ขาดสาย
การทำบุญ ช่วยแก้เคราะห์ กรรมมลาย
เพิ่มอักษร ชื่อท้ายเป็น ๑๐๐ ผลจะดี
ดวงชะตา ว่าชื่อนี้ นั้นดีนัก
จะสูงศักดิ์ วาสนา พาสุขี
เหลือบาปเคราะห์ ยังส่งผล ดลภัยมี
สร้างชีวี หมั่นทำบุญ สุนทรทานฯ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ชื่อ : คเนศดนัย [ไม่ใส่คำแปล/ไม่ทราบคำแปล]
เกิดวันพุธ (กลางวัน) ชื่อมีทั้งหมด 8 ตัวอักษร รวมชื่อกับนามสกุลแล้วได้กำลังพระเคราะห์ 79
แยกตัวอักษรจากชื่อคุณคเนศดนัยแล้วมีรายละเอียดดังนี้

1. มี ค เป็น มนตรี อักขระตัวนี้ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางความเป็นใหญ่ หรือประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู [มีค่าเป็น 4]
2. มี สระ เอ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 2]
3. มี น เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 5]
4. มี ศ เป็น มูละ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมทุนทรัพย์หรือมรดก ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 7]
5. มี ด เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 1]
6. มี น เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 5]
7. มี ไม้หันอากาศ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 4]
8. มี ย เป็น ศรี เป็นอักขระที่ช่วยเสริมสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักและศรัทธาในตัวเจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 8]

สรุปจำนวนทักษาทั้ง ๘ ในชื่อของคุณคเนศดนัย มีอักขระที่เป็นบริวาร 0, อายุ 3, เดช 0, ศรี 1, มูละ 1, อุตสาหะ 2, มนตรี 1, กาลกิณี 0

คำอธิบายเกี่ยวกับทักษาของคุณคเนศดนัย
บริวาร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ข้าทาสบริวารชายหญิง คนในบ้านผู้ที่อยู่ในอุปการะ ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหายของตน (ชื่อคุณมีบริวาร 0)
อายุ หมายถึง อายุ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน หากนำตัวอักษรที่มีทักษานี้มาตั้ง เชื่อกันว่าทำให้มีอายุยืนยาว (ชื่อคุณมีอายุ 3)
เดช หมายถึง อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง (ชื่อคุณมีเดช 0)
ศรี หมายถึง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา (ชื่อคุณมีศรี 1)
มูละ หมายถึง ทุนทรัพย์ หรือมรดก ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า (ชื่อคุณมีมูละ 1)
อุตสาหะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร การประกอบกิจการค้า และการงานอื่นๆ ให้เกิดผลสำเร็จ จากความมีมานะ อุตสาหะของตนเอง (ชื่อคุณมีอุตสาหะ 2)
มนตรี หมายถึง ความเป็นใหญ่ หรือความสำเร็จ ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน (ชื่อคุณมีมนตรี 1)
กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต (ชื่อคุณมีกาลกิณี 0)

สำหรับคุณคเนศดนัย ผู้เกิดวันพุธ (กลางวัน)
เสริมดวงทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร-ภรรยา-ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม บริวาร คือพวก ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางการดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อายุ คือ ด ต ถ ท ธ น ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางอำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียง ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม เดช คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงในสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรัก ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม ศรี คือ ย ร ล ว ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางทรัพย์สิน การงาน หลักฐานความเป็นอยู่ ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มูละ คือ ศ ษ ส ห ฬ ฮ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมพลังความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการค้า ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อุตสาหะ คือ สระทั้งหมด ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางความเป็นใหญ่ หรือประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มนตรี คือ ก ข ค ฆ ง ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
หลีกเลี่ยงหรือไม่ควรใช้ อักษรกลุ่ม กาลกิณี คือ จ ฉ ช ซ ฌ ญ ในการตั้งชื่อ คืออย่าให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เป็นมงคล ความอับโชคและอุปสรรคต่างๆ
________________________________________
วิเคราะห์ตามหลักเลขศาสตร์
ชื่อ คเนศดนัย มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 36 [รายละเอียดการแยกชื่อ ค=4 สระเอ=2 น=5 ศ=7 ด=1 น=5 ไม้หันอากาศ=4 ย=8 ]
นามสกุล เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 43 [รายละเอียดการแยกนามสกุล สระเอ=2 น=5 สระอี=7 ย=8 ม=5 ห=5 อ=6 ม=5 ]
รวมชื่อและนามสกุล คเนศดนัย เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 79
________________________________________
แยกวิเคราะห์ 3 ส่วน คือ 1. ชื่อ 2. นามสกุล 3. ชื่อ + นามสกุล ดังนี้
1. ชื่อ คเนศดนัย
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 36 พลังแห่งความรักความอบอุ่น

คำทำนายของชื่อ คเนศดนัย (36)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๓๖ เป็นเลขที่หมายถึงความรัก ความสดชื่นของชีวิต ชีวิตจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีมิตรสหาย มาก สติปัญญามีหัวทางประดิษฐ์คิดค้น ถ้าเป็นเด็กจะฉลาดเรียนเก่ง เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม และเพศตรงข้ามมักให้ความ อบอุ่นเป็นอย่างดี แต่จะเสียนิดหนึ่งคือเป็นคนเจ้าอารมณ์ และค่อนข้างมีความคิดเห็นที่รุนแรง เป็นคนเปิดเผยปากกับใจตรงกัน สุภาพ- สตรีที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลเลข ๓๖ โอกาสที่จะมีชีวิตคู่ หรือได้แต่งงานสูงมาก และจะได้คู่ครองที่ดี

สรุปย่อๆ : โชคดีมีการงานดีตำแหน่งสูง เด่นในด้านความรัก มีเสน่ห์ คู่ครองดีมีความรู้ รักช่วงแรกไม่ค่อยดี ต้องใจเย็น
2. นามสกุล เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต

คำทำนายของนามสกุล เนียมหอม (43)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ เป็นเลขอับโชค บ่งถึงความวิปริตมีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ชีวิต ในอนาคตมักจะพบกับความล้มเหลวยุ่งยากและมีทุกข์ภัยอยู่เนืองๆ เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ คือดาวเสาร์ ย่อมบ่งถึงอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว จึงต้องระวังอนาคตเบื้องหน้าไว้ให้ดี อย่าประมาทเป็นอันขาด ชีวิตจะประสบอุบัติเหตุได้ง่าย

สรุปย่อๆ : มีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา มีอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล คเนศดนัย เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 79 พลังทรัพย์และสุขภาพ

คำทำนายของ ชื่อ + นามสกุล คเนศดนัย เนียมหอม (79)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๗๙ บ่งถึงเป็นคนมีมิตรสหายมาก มีกำพืดหรือเผ่าพันธุ์รอบตัว หรือมีญาติเยอะ มีโอกาสจะได้รับ มรดกเป็นของเก่าแก่ ชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างโลดโผน แต่ในขณะเดียวกันจะถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างทรมาน หรือมิฉะนั้นบุคคลในครอบครัวจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำ

สรุปย่อๆ : จัดอยู่ในเกณฑ์ดี มีฐานะมั่นคง บรรพบุรุษเป็นคนดี สร้างฐานะไว้ดี คุณจะได้รับทรัพย์มรดก หรือสิ่งที่ท่านสร้างไว้ให้ ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงิน ลงทุนทำธุรกิจอะไรก็จะประสบความสำเร็จ แต่อย่าหักโหมจนลืมรักษาสุขภาพตัวเอง สุขภาพดีมาก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่หากมีก็หายในไม่ช้า ชีวิตมีอุปสรรคบ้างแต่ไม่ค่อยมาก ต้องลำบากก่อนจึงจะได้ดี
________________________________________
สรุป ชื่อ นามสกุล และผลรวมชื่อ+นามสกุล
1. ชื่อ "คเนศดนัย" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 36 พลังแห่งความรักความอบอุ่น
2. นามสกุล "เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล "คเนศดนัย เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 79 พลังทรัพย์และสุขภาพ
________________________________________
คำทำนายผลรวม ชื่อ + นามสกุล ได้เลข 79 มีดังนี้ (อ่านเป็นกลอน)
[เลข 79 พลังทรัพย์และสุขภาพ ]
เลข ๗๙ เล่าความ ตามที่อ้าง
ได้ชื่อบ้าง บวกสกุล ตรงเลขนี้
ถือว่าพอ สมควร ในเกณฑ์ดี
ฐานะมี ทางบ้าน ก็มั่นคง
บรรพบุรุษ เป็นคนดี มีฐานะ
คุณก็จะ รับมรดก ท่านประสงค์
ไม่เดือดร้อน การเงิน ก็มั่นคง
แต่โดยตรง ชื่อเสียง เสี่ยงโชคมา
ความสำเร็จ ก็ลงทุน หนุนอย่างสูง
แต่จงมุ่ง เพียรระวัง อย่ากังขา
สุขภาพ ไม่ค่อยดี มีโรคา
เคราะห์ร้ายมา บั่นทอน ให้อ่อนใจ
หมั่นทำบุญ ช่วยลดเคราะห์ ให้เบาบาง
ชะตาอ้าง ชื่อนี้ เสริมดีให้
ความก้าวหน้า เพื่อนพ้อง มีมากมาย
จุดเสียหาย สุขภาพตน (และ) คนใกล้ตัวฯ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ชื่อ : ณัฏฐ์ดนัย [ไม่ใส่คำแปล/ไม่ทราบคำแปล]
เกิดวันพุธ (กลางวัน) ชื่อมีทั้งหมด 9 ตัวอักษร รวมชื่อกับนามสกุลแล้วได้กำลังพระเคราะห์ 97
แยกตัวอักษรจากชื่อคุณณัฏฐ์ดนัยแล้วมีรายละเอียดดังนี้

1. มี ณ เป็น บริวาร เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง [มีค่าเป็น 5]
2. มี ไม้หันอากาศ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 4]
3. มี ฏ เป็น บริวาร เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง [มีค่าเป็น 9]
4. มี ฐ เป็น บริวาร เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง [มีค่าเป็น 9]
5. มี ตัวการันต์ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 9]
6. มี ด เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 1]
7. มี น เป็น อายุ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของชื่อในทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตเพื่อให้มีอายุยืนยาว [มีค่าเป็น 5]
8. มี ไม้หันอากาศ เป็น อุตสาหะ เป็นอักขระที่ช่วยเสริมพลังความขยันหมั่นเพียรการประกอบกิจการต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จแก่เจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 4]
9. มี ย เป็น ศรี เป็นอักขระที่ช่วยเสริมสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักและศรัทธาในตัวเจ้าของชื่อ [มีค่าเป็น 8]

สรุปจำนวนทักษาทั้ง ๘ ในชื่อของคุณณัฏฐ์ดนัย มีอักขระที่เป็นบริวาร 3, อายุ 2, เดช 0, ศรี 1, มูละ 0, อุตสาหะ 3, มนตรี 0, กาลกิณี 0

คำอธิบายเกี่ยวกับทักษาของคุณณัฏฐ์ดนัย
บริวาร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ข้าทาสบริวารชายหญิง คนในบ้านผู้ที่อยู่ในอุปการะ ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหายของตน (ชื่อคุณมีบริวาร 3)
อายุ หมายถึง อายุ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน หากนำตัวอักษรที่มีทักษานี้มาตั้ง เชื่อกันว่าทำให้มีอายุยืนยาว (ชื่อคุณมีอายุ 2)
เดช หมายถึง อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง (ชื่อคุณมีเดช 0)
ศรี หมายถึง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา (ชื่อคุณมีศรี 1)
มูละ หมายถึง ทุนทรัพย์ หรือมรดก ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า (ชื่อคุณมีมูละ 0)
อุตสาหะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร การประกอบกิจการค้า และการงานอื่นๆ ให้เกิดผลสำเร็จ จากความมีมานะ อุตสาหะของตนเอง (ชื่อคุณมีอุตสาหะ 3)
มนตรี หมายถึง ความเป็นใหญ่ หรือความสำเร็จ ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน (ชื่อคุณมีมนตรี 0)
กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต (ชื่อคุณมีกาลกิณี 0)

สำหรับคุณณัฏฐ์ดนัย ผู้เกิดวันพุธ (กลางวัน)
เสริมดวงทางผู้แวดล้อม เช่น บุตร-ภรรยา-ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม บริวาร คือพวก ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางการดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อายุ คือ ด ต ถ ท ธ น ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางอำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียง ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม เดช คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงในสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรัก ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม ศรี คือ ย ร ล ว ในการตั้งชื่อ ให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางทรัพย์สิน การงาน หลักฐานความเป็นอยู่ ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มูละ คือ ศ ษ ส ห ฬ ฮ ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมพลังความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการค้า ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม อุตสาหะ คือ สระทั้งหมด ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
เสริมดวงทางความเป็นใหญ่ หรือประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ใช้ตัวอักษรกลุ่ม มนตรี คือ ก ข ค ฆ ง ในการตั้งชื่อ คือให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณ
หลีกเลี่ยงหรือไม่ควรใช้ อักษรกลุ่ม กาลกิณี คือ จ ฉ ช ซ ฌ ญ ในการตั้งชื่อ คืออย่าให้อักษรเหล่านี้มีในชื่อของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เป็นมงคล ความอับโชคและอุปสรรคต่างๆ
________________________________________
วิเคราะห์ตามหลักเลขศาสตร์
ชื่อ ณัฏฐ์ดนัย มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 54 [รายละเอียดการแยกชื่อ ณ=5 ไม้หันอากาศ=4 ฏ=9 ฐ=9 ตัวการันต์=9 ด=1 น=5 ไม้หันอากาศ=4 ย=8 ]
นามสกุล เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 43 [รายละเอียดการแยกนามสกุล สระเอ=2 น=5 สระอี=7 ย=8 ม=5 ห=5 อ=6 ม=5 ]
รวมชื่อและนามสกุล ณัฏฐ์ดนัย เนียมหอม มีกำลังพระเคราะห์ทั้งหมด 97
________________________________________
แยกวิเคราะห์ 3 ส่วน คือ 1. ชื่อ 2. นามสกุล 3. ชื่อ + นามสกุล ดังนี้
1. ชื่อ ณัฏฐ์ดนัย
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 54 พลังมหาราชาโชคความสำเร็จ

คำทำนายของชื่อ ณัฏฐ์ดนัย (54)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๕๔ เป็นเลขที่แสดงถึงนิมิตแห่งความสำเร็จ ชีวิตมักจะได้คุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนรู้ง่าย มีสติ ปัญญาแตกฉานเข้าใจอะไรได้งาย อุปสรรคในชีวิตมีน้อยแต่ต้องระวังอุบัติเหตุจากยานพาหนะ และระวังเรื่องเกี่ยวกับสายตา เพราะเลข ๕๔ บวกกันได้ ๙ ดาวเกตุธาตุลม

สรุปย่อๆ : เป็นมงคลแก่ชีวิตยิ่งที่ได้ชื่อนี้ เพราะรวมกันได้ ๙ พอดี เรื่องงาน ความรัก และอื่นๆ สำเร็จสมปรารถนา จะมีตำแหน่งสูง คนเคารพนับถือ ปัญญาดี เรียนอะไรก็แตกฉาน มีคนคอยค้ำจุนหนุนส่ง ไม่มีทางตกต่ำหรือขาดแคลน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
2. นามสกุล เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต

คำทำนายของนามสกุล เนียมหอม (43)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ เป็นเลขอับโชค บ่งถึงความวิปริตมีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ชีวิต ในอนาคตมักจะพบกับความล้มเหลวยุ่งยากและมีทุกข์ภัยอยู่เนืองๆ เลข ๔๓ บวกกันได้ ๗ คือดาวเสาร์ ย่อมบ่งถึงอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว จึงต้องระวังอนาคตเบื้องหน้าไว้ให้ดี อย่าประมาทเป็นอันขาด ชีวิตจะประสบอุบัติเหตุได้ง่าย

สรุปย่อๆ : มีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา มีอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล ณัฏฐ์ดนัย เนียมหอม
ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 97 พลังความรุ่งโรจน์

คำทำนายของ ชื่อ + นามสกุล ณัฏฐ์ดนัย เนียมหอม (97)
กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๙๗ เป็นเลขสำเร็จอีกเลขหนึ่ง ชีวิตจะก้าวหน้ารุ่งโรจน์ดีมีสมัครพรรคพวกมาก มักเข้มแข็ง ในการทำงาน มีสมรรถภาพดีเยี่ยม เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องยำเกรง แต่ในชีวิตต้องระวังอุบัติเหตุ อาจถูกปองร้าย จากกรรมเก่า เลขคู่ปานกลาง

สรุปย่อๆ : เป็นเลขดีชีวิตมีความรุ่งโรจน์ เหมือนฟ้าประทาน ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน ค้าขายได้กำไร ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีคนเคารพนับถือ มีเกียรติในสังคม มีเพื่อนมากมาย แต่ควรระวังเรื่องอุบัติเหตุ อย่าประมาท ควรทำบุญสะเดาะเคราะห์จะเสริมดวงชะตาได้มาก
________________________________________
สรุป ชื่อ นามสกุล และผลรวมชื่อ+นามสกุล
1. ชื่อ "ณัฏฐ์ดนัย" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 54 พลังมหาราชาโชคความสำเร็จ
2. นามสกุล "เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 43 พลังวิปริต
3. ผลรวมของ ชื่อ + นามสกุล "ณัฏฐ์ดนัย เนียมหอม" ได้กำลังพระเคราะห์ (กำลังเลขศาสตร์) 97 พลังความรุ่งโรจน์
________________________________________
คำทำนายผลรวม ชื่อ + นามสกุล ได้เลข 97 มีดังนี้ (อ่านเป็นกลอน)
[เลข 97 พลังความรุ่งโรจน์ ]
เลข ๙๗ ชี้ให้เห็น เด่นรุ่งโรจน์
เหมือนฟ้าโปรด ให้ชีวิต นี้สดใส
แม้คิดทำ การงาน ด้านใดใด
ก็จักได้ ความสำเร็จ เป็นอย่างดี
การค้าขาย ผลกำไร ได้ดีอยู่
จะมีผู้ เคารพ ในศักดิ์ศรี
จะได้เป็น นายคน มีผลดี
ชอบเฮฮา ปาร์ตี้ เพื่อนมากมาย
สิ่งระวัง คือเรือง อุบัติเหตุ
เตือนด้วยเดช อย่าประมาท ให้ขาดสาย
การทำบุญ ช่วยแก้เคราะห์ กรรมมลาย
เพิ่มอักษร ชื่อท้ายเป็น ๑๐๐ ผลจะดี
ดวงชะตา ว่าชื่อนี้ นั้นดีนัก
จะสูงศักดิ์ วาสนา พาสุขี
เหลือบาปเคราะห์ ยังส่งผล ดลภัยมี
สร้างชีวี หมั่นทำบุญ สุนทรทานฯ