วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

พระฤาษีหน้าเนื้อ(ฤาษีกไลโกฏิ)

พระฤาษีหน้าเนื้อ มีชื่อว่า "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ อีกพระนามหนึ่งคือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" อยู่ในเชื้อสายของตระกูลฤาษี พระฤาษีหน้าเนื้อเป็นบุตรของพระฤาษีพิภาณฑกมุนี และเป็นหลานของ พระฤาษีกาศยปมุนี (ซึ่งพระฤาษีกาศยปมุนี นี้ เป็นฤาษีที่มีอิทธิทธิ์และบารมีสูง สามารถสร้างอภินิหารต่างๆ ได้ เมื่อท่านต้องการจะทำสิ่งใดจะต้องได้สมกับความต้องการและสำเร็จทุกครั้ง เป็นหนึ่งในฤาษีที่ทำพิธีอัศวเมธ)เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพระฤาษีหน้าเนื้อนี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลฤาษีโดยแท้ตั้งแต่แรกพระฤาษีหน้าเนื้อกำเนิดและเจริญเติบโตในป่า ไม่เคยพบหน้าเทวดา หรือมนุษย์มาก่อน ตั้งใจบำเพ็ญตบะ เข้าฌาณ เพื่อเสริมสร้าบารมี และด้วยอิทธิฤทธิ์และบารมีของท่าน จึงทำให้แคว้นองคราษฎร์ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับป่าที่พระฤาษีฯ บำเพ็ญพรตอยู่เกิดวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล จึงเกิดความแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่ว --- ท้าวโลมบาทผู้ครองนครองคราษฎร์ ให้โหรหลวงทำนาย แล้วจึงเสด็จออกไปยังป่า สถานที่อาศัยของพระฤาษี สั่งให้ทหารจัดตั้งพลับพลาสวยงาน ในพลับพลานั้นให้เป็นที่สถิตของนางศานตา หรือนางอรุณวดี ซึ่งเป็นพระราชธิดาที่เป็นที่โปรดปรานของท้าวโลมบาท แล้วท้าวโลมบาทได้ให้พวกนางโลม ไปหลอกล่อ พระฤาษีฯออกมายังพลับพลาของนางศานตา และด้วยความเคารพในพระฤาษี ท้าวโลมบาท ได้ยกพระราชธิดาให้ตามพระประสงค์ของพระฤาษีฯท้าวโลมบาท ได้อัญเชิญพระฤาษีให้สู่ราชฐาน แล้ว ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็กลับอุดมสมบูรณ์เกี่ยวกับคัมภีร์ของไทย มักเรียก "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือฤาษีหน้าเนื้อ ว่าเป็น พระฤาษีกะลัยโกฏิซึ่งตำนานโบราณ กว่า 2,000 ปี ในระยะต้นของพระพุทธศาสนา ได้ระบุไว้ในหลายคำภีร์ ว่า "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" เป็นองค์เดียวกันกับที่เป็นพระสวามีของนางศานตา ซึ่ง พระสวามีของนางศานตา ก็คือ พระฤาษีหน้าเนื้อนี่เอง ( ว. จีนประดิษฐ์ ผู้รวบรมข้อมูล)
ต่อครับ
เรื่องมีอยู่ว่า คราวหนึ่ง พระสนัตกุมารพรมบุตร ได้กล่าวกับท้าวทศรถ ผู้ครองนครกรุงศรีอโยธยา ว่า ถ้าเมื่อใดต้องการจะทำพิธิ อัศวเมธ เพื่อบนบานในการขอลูก จะต้องอัญเชิญ พระฤาษีฤษยะสฤงค์ให้ไปช่วยในการทำพิธีด้วย พิธีนั้นจึงจะสำเร็จสมความปราถนาดังนั้นท้าวทศรถ จึงเสด็จไปอัญเชิญพระฤาษีฤษยะสฤงค์ (ฤาษีหน้าเนื้อ) และนางศานตา สู่กรุงศรีอโยธาแล้วท้าวทศรถก็กระทำพิธีอัศวเมธได้สำเร็จ และพระโอรสที่เกิดมาก็คือ พระราม , พระลักษณ์ , พระพรต และพระศัตรุฆน์ (หรือสัตรุด)
ต่อครับ แถมให้พระฤาษีหน้ากวาง หรือพระฤาษีหน้ากวางทอง = (พระฤาษีปะตาภา) = (พระฤาษีปิตน)ตำรา เล่าว่า พระฤาษีหน้ากวางนั้น เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบาน กับ พระฤาษีหน้าเสือ เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้บำเพ็ญตนเป็นฤาษี และได้อาศัยอยู่ในสำนักอาจารเดียวกัน คือ พระฤาษีสิษฐ์ (พระฤาษีองค์นี้เป็นทศฤาษี หรือสัปตฤาษี ในคำภีร์ภารตะ ) และเมื่อทั้งสองมีตบะเพิ่มมากขึ้น จึงพากันแยกย้ายกันออกจากสำนัก และพากันเดินทางไปหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ ซึงเป็นบริเวณป่าใกล้กับเขาไกลาศ แล้วจึงแยกย้ายกันหามุมสงบ แล้วจัดตั้งอาศรมขึ้นพอเหมาะกับการที่จะมุ่งสู่ธรรม พระฤาษีหน้าเสือ (........) อยู่ทางทิศใต้ พระฤาษีปะตาภา อยู่ทางด้านทิศเหนือ ทั้งสองมุ่งบำเพ็ญตบะอย่างเต็มที่ จนมีตบะและบารมีเข้มแข็ง จนสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้อยู่มาวันหนึ่ง พระฤาษีหน้าเสือ เกิดคิดถึงเพื่อนจึงเดินทางไปหาที่อาศรม และอีกใจ ก็มีจิตที่จะลองวิชาด้วยว่าใครจะเก่งกว่ากัน เมื่อพบปะกันก็คุยกันอย่างสนิท สุดท้ายแล้วก็วกมาในทางโอ้อวดวิชากัน จนในที่สุดตกลงกันว่า จะนำวิชามาอวดกันพระฤาษีปะตาภา (พระฤาษีหน้ากวาง) ตักน้ำใส่ขันแล้วบริกรรมคาถา แล้วฝากขันไว้กับเพื่อน เพื่อที่จะใช้น้ำมนต์นี้แก้วิชาตอนเสร็จพิธีแล้ว ทางด้านฤาษีหน้าเสือ ก็ทำเช่นเดียวกันแล้วพระฤาษีปะตาภา ก็แปลงกายด้วยอำนาจมนต์ จนท่อนศรีษะเป็นกวางทอง จนพระฤาษีหน้าเสือถึงกับเอ่ยปากชื่นชมด้วยความจริงใจ แล้วตนเองก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ จนท่อนศรีษะกลายเป็นเสือโคร่ง เหลืองอร่าม เพื่อนก็ชื่นชมในบารมีอย่างจริงใจเช่นเดียวกัน****และแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันเก็เกิดขึ้น เหตุว่ามีพระฤาษีอีกตนหนึ่ง ชื่อว่า พระฤษี....... แอบดู และพอใจในการแสดงอิทธิฤทธิ์ ของทั้งสอง จึงเข้ามาชวนสนทนา และด้วยความที่เห็นเป็นของแปลกที่มีฤาษี หน้าเป็นกวางและเป็นเสือ จึงอยากให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป จึงชวนสนทนาอย่างเพลิดเพลิน จนพระฤาษีทั้งสอง ลืมที่จะกลับร่าง พระฤาษี........ จึงฉวยโอกาสสาดน้ำมนต์ทั้งสองขันทิ้ง สร้างความตกตะลึง ให้แก่เพื่อนฤาษีทั้งสอง เป็นอย่างมาก พระฤาษีทั้งสองหมดโอกาสที่จะคืนร่างเป็นอย่างเดิมได้ จึงบันดาลโทสะ จนยากจะห้ามได้ ทั้งสองจึงร่วมมือกันสาปพระฤาษ์ตนนั้น ใก้กลายเป็นฤาษีลิงในทันใด ******
--กล่าวถึง พระฤาษีประไลยโกฐ ซึ่งว่ากันว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีอิสีสิงค์ (เป็นพระฤาษีชั้นเทพบุตรทั้งคู่) นั้น จากการรวบรวมตำนานฤาษี ของ อาจารย์ ว. จีนประดิษฐ์ จากตำนานโบราณแท้ที่จริงแล้ว พระฤาษีหน้าเนื้อ นั้นในหลายตำรา "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" เป็นองค์เดียวกันกับที่เป็นพระสวามีของนางศานตา ซึ่ง พระสวามีของนางศานตา หรือนางอรุณวดี ซึ่งว่ากันว่า จะกระทำการสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ หรือให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ควรอัญเชิญฤาษีหน้าเนื้อนี้ด้วยว่าเรื่อง พระฤาษีประไลยโกฐตำนานเล่าว่า ท่านได้บำเพ็ญตบะสร้างบารมี อยู่ในป่าเพื่อหวังความสำเร็จแล้วจะได้บังเกิดในสวรรค์ ตั้งใจบำเพ็ญพรตเพื่อนิพพานด้วยความมุ่งมั่นแต่อย่างเดียว และในระหว่างนั้นเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน และวังวลในเรื่องอาหารการกิน ต้องดินรนแสวงหาสิ่งของมาประทังชีวิต แต่พระฤาษีประไลยโกฐถึงแม้จะหว่งใยก็ไม่สามารถหาทางออกให้ประชาชนในขณะนั้นได้จึงได้แต่บำเพ็ญพรตต่อไป จน ........กระทั่งเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร ด้วยบุญญาธิการ และบารมีการบำเพ็ญของท่าน จึงเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ พายุใหญ่พัดกระหน่ำรุนแรง ต้นไม้โค่นระเนระนาด พอฝนซา.............เกิดน้ำท่วมรอบๆอาศรมท่าน... และในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุ แล้วตกบริเวณหน้าอาศรมท่าน .....อยู่ตรงนั้น...... จนเมล็ดข้าวสาลี กระเทาะเปลือก .......... ท่านเฝ้าดูอย่างปลื้มปิติ มันงอกงาม จนสุก เหลืองอร่าม ทั้งยังส่งกลิ่นหอม ท่านจึงรำพึงว่า นี่ต้น .... นี่ผลอะไร? มนุยษ์จะกินได้หรือเปล่า ?.. ฉนั้นเราจะคอยดูว่า จะมีพวกนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้าสัตว์กินได้....มนุษย์ก็ต้องกินได้....หลังจากนั้น ก็ได้มีนกกระจาบ ตัวเล็กๆ บินมา กินเมล็ดข้าวสาลี จนอิ่ม แล้วยังคาบรวงข้าวกลับไปด้วย และแล้ว อีกไม่นาน ก็ได้มีนกกระจาบฝูงใหญ่บินมากินจนอิ่มหน่ำ แล้วคาบกลับไปอีกท่านเห็นดังนี้ ก็ดีใจ คิดได้ว่าต่อไปมนุษย์จะต้องไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารการกินอีกต่อไป.....จนนกเหล่านั้นไปหมดแล้ว ท่านจึงลงจากอาศรม แล้วเก็บรวบรวมเมล็ดข้าสาลีที่เหลือ เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป เพื่อให้มากพอกับความต้องการของมนุษย์ตามตำนานของพระฤาษี ว่าไว้ว่าอย่างนี้ครับ
และยังมี--- พระฤาษีหน้ากวางอยู่อีก 1 ตน ฤาษีหน้ากวางนี้ มิใช่ ฤาษีที่บำเพ็ญตนจนเป็นฤาษี และเป็นดาบสสนี (ผู้บำเพ็ญตนเพื่อเผาผลาญกิเสส) และเป็นหญิงด้วย..... ทายสิใคร ?
พระราม ฆ่าทศกัณฐ์ตายแล้ว จึงรับนางสีดาเข้าสู่กรุง อโยธยา (เป็นเรื่องราวของตำนานเทพและฤาษีนะครับ)มิใช่วรรณกรรมพระราชนิพนธ์นางอดูลปิาจ เกิดความคับแค้นใจ เนื่องจากเป็นญาติกับทกัณฐ์ จึงแปลงกายเป็นสาวงามเข้าไปถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้ของนางสีดาเมื่อเป็นได้ตามประสงค์แล้ว นางงามจึงหาอุบายให้นางสีดาเขียนรูปทกัณฐ์ จนพระรามมาเห็นเข้าจึงโกรธ สั่งให้พระลักษณ์นำนางสีดาไป ประหาร แล้วให้ควักดวงใจเอากลับมาให้ดู พระลักษณ์ลงมือฟันด้วยพระขรรค์ ก็บังเกิดเป็นดอกไม้ทิพย์คล้องคอนางสีดา พระลักษณ์จึงปล่อยตัวนางสีดาไป แล้วพระอินทร์ได้เนรมิตเนื้อทรายที่นอนตายให้พระลักษณ์ควักเอาดวงใจไปพระอินทร์แปลงเป็นมหิงสา ให้นางสีดาทรงขี่ไยังอาศรมของ พระฤาษีวัชมฤค = (พระฤาษีหน้าวัว) = พระฤาษี.........เมื่อพระฤาษีวัชมฤค ทราบเรื่องจึงให้นางสีดา ถือเพศเป็นดาบสสินี แล้วกำบังกายให้เป็นพระฤาษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย
พระฤาษีวัชมฤค = (พระฤาษีหน้าวัว)ได้บำเพ็ญเพียร เป็นฤาษีชั้นเทพ และมีอีกพระนาม ว่า พระฤาษีวาลมีกิ และพระฤาษีวาลมีกิ นี่ก็มีความเกี่ยวพันกับพระฤาษีนารอท (พระนารทฤาษี) ต่อจากที่ช่วยนางสีดาเลยล่ะกัน เพราะมีการกำเนิดโอรสของนางสีดา กับพระราม เมื่อกำบังกายให้นางสีดาแล้ว ไม่นาน นางสีดาก็ได้คลอดโอรส ออกมา 1 คน และให้ชื่อว่า พระกุศ นางฝากให้พระฤาษีเลี้ยงไว้ แล้วนางก็ปลีกกายไปบำเพ็ญตบะ อยู่มาวันหนึ่งนางจะไปอาบน้ำ ได้พบกับแม่ลิงที่มีลูกอ่อนอุ้มลูกให้เกาะกระโดดไปตามต้นไม้ นางเป็นห่วงกลัวลูกลิงจะตก จึงกล่าวกับลิงว่าระวังลูกตก นางลิงก็ว่า ลูกที่อยู่ใกล้แม่ ถึงจะเกิดอะไรก็ยังมีทางช่วยเหลือได้ทัน ไม่เหมือนนางที่ฝากลูกไว้กับพระฤาษีที่เอาแต่หลับตา บำเพ็ญตบะ สัตว์ร้ายจะมาคาบไปเป็นอาหารเมื่อไหร่ก็ไม่มีทางรู้ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางเลยเป็นห่วงลูก จึงไปที่อาศรมพระฤาษีฯ อุ้มลูกของนางออกมาอาบน้ำด้วยครั้นเมื่อพระฤาษีฯได้ออกจากฌาณ ลืมตาขึ้นมาไม่พบพระกุศ จึงเที่ยวตามหาจนทั่วบริเวณอาศรมก็ไม่พบ ท่านเกิดวิตกมาก คิดว่าสัตว์ร้ายคงมาคาบเอาพระกุมารไปกินเป็นแน่แท้ ก็คิดกลัวว่า นางสีดาจะมาตำหนิตัวเองว่าทำลูกนางหาย จึงไม่รอช้า รีบจัดตั้งเครื่องพิธีจะทำการชุบกุมารขึ้นมาแทนพระกุศ โดยการวาดรูปกุมารให้เหมือนและจะได้ทำการชุบด้วยพระคาถาต่อไปแต่ยังไม่ทันที่พระฤาษีจะได้ทำการชุบฯ นางสีดาก็อุ้มพระกุศมาบนอาศรม พระฤาษีดีใจด้วยรู้ว่าพระกุศมิได้หายไปไหนจึงกำลังจะลบรูปวาด นางสีดาเห็นว่ารูปที่พระฤาษีวาดนั้นน่ารักดีจึงขอให้พระฤาษีทำการชุบชีวิตมา เพื่อเป็นเพื่อนกับพระกุศ และให้ชื่อว่า ลบ หรือพระลพ
เมื่อประมาณต้นพุทธกาล พระฤาษีวาลมีกิ ได้อาราธนา พระนารทมหาฤาษี ผู้มีปฏิภาณและความจำเป็นเลิศ ให้มาแสดงธรรม แล้วให้พระนารทมหาฤาษีทรงเล่า เรื่องรามายณะให้ฟัง พระมหาฤาษีก็มิได้ขัดข้อง ทรงเล่าความตามหัวข้อของเรื่องราว ราวกับพงศาวดารให้ฟังอยู่เป็นเวลานาน จนจบเรื่องราวที่ได้มีมาแต่หนหลังตามที่ท่านได้ตั้งใจไว้ จบลงแล้วได้ประสิทธิ์ประสาทพรให้กับพระฤาษีวาลมีกิจนเป็นที่เรียบร้อย พระนารทมหาฤาษีก็จำเป็นต้องเสด็จขึ้นสวรรค์ บำเพ็ญตบะสร้างสมบารมีต่อไป ด้วยการเป็นพระฤาษีพรหมนารท เสวยทิพย์อยู่ในวิมานและปราสาททิพย์ชั้นพรหมโลกพระฤาษีวาลมีกิ มีความจำเป็นที่จะต้องรจนา (แต่ง) เรื่องรามายณะ ขึ้นมาเป็นวรรณกรรม ให้เป็นคัมภีร์ มีหลักฐานข้อมูลอยู่จนทุกวันนี้การรจนาเรื่องรามายณะนั้น พระฤาษีวาลมีกิ ได้คิดค้นคำเพื่อให้เป็นที่จดจำและเพลิดเพลินในการได้สดับ เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งหลังจากที่ พระฤาษีวาลมีกิ ได้ออกจากตบะฌาณแล้ว ออก จากอาศรมไปยังฝั่งน้ำตมสาเพื่อจะชำระร่างกายให้สะอาด และในขณะที่กำลังทอดอารมณ์ชมทิวทัศน์อยู่นั้น ก็ได้พบกับนางนกกระเรียนซึ่งตัวผู้ได้จบชีวิตลงด้วยฝีมือพราน กำลังเสียใจเป็นอย่างมาก ยืนคร่ำครวญร่ำรำพันถึงผัวรักที่ได้ตายไปต่อหน้า ต่อตา ด้วยความรักผัวจึงครวญครางออกมาเป็นสำเนียงโหยหวน ให้พระฤาษีวาลมีกิ ได้ยิน เมื่อพระฤาษีได้ฟังจึงแสดงความสงสารออกมาเป็น ฉันท์โฉลกดังนั้นแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ ว่าอันบทกลอนทั้งหมดที่ได้เอ่ยออกมานั้น ตรงกับคำฉันท์ และเป็นกลอนคำฉันท์ที่แปลกใหม่จากฉันท์อื่นๆ ซึ่งจะเก็บเอาไว้ขับร้อง คงเป็นประโยชน์อย่างมาก (โศลก) แปลว่า โศกพระฤาษีวาลมีกิ พรรณนาฉันท์โศลกนี้อยู่เรื่อย เห็นว่าเพราะดี และบางทีก็พรรณนา ให้พระฤาษีภรัทวาช ผู้เป็นศิษย์ฟัง ก็เห็นชอบว่าควรเก็บรักษาฉันท์โศลกนี้ไว้พระฤาษีวาลมีกิ กลับมาถึงอาศรม ก็มีพระพรหมฤาษี ผู้เป็นปรพราหมณ์ และเป็นอาทิกระวี คือองค์พระพรหม ผู้เป็นกวีเอกทั้งสามโลก ทั้งมีปัญญา ความจำ ความสามรถอย่างเฉียบขาด และยอดเยี่ยมไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ได้เสด็จลงมาด้วยความเมตตาพระฤาษีวาลมีกิ ทรงอบรมสั่งสอนพระฤาษีวาลมีกิ มากมาย แล้วจึงสั่งให้ พระฤาษีฯ รจนา เรื่องรามายณะ ขึ้นโดยอนุญาต ให้คำฉันท์ที่เคยรำพึงรำพันขึ้นมานั้นและแล้วพระฤาษีวาลมีกิ ก็สำรวมกิริยาต่อหน้าท่านปรพราหมณ์ นั้น ในไม่ช้าพระฤาษีวาลมีกิ ก็เห็นเรื่องราว รามายณะได้โดยตลอด
พระฤาษีวาลมีกิ ใช้เวลาอยู่นานแสนนาน ก็ได้รจนาและรวบรวมเรื่องราวรามายณะเรียบร้อย มีความยาวถึง 6 กัณฑ์ และมีกัณฑ์ แถมอีก 1 กัณฑ์ แล้วได้จัดให้ พระกุศ และพระลพ (โอรสของพระราม) ทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์เป็นพราหมณ์น้อย ๆ ที่มีความน่ารัก น่าเอ็นดู แล้วพระฤาษีวาลมีกิ ก็สอนให้กุมารทั้งสอง ท่องจำเรื่องราวรามมายณะ ตั้งแต่ต้นจนจบ จนจำขึ้นใจและยังต้องคล้องเข้าทำนองไปกับดนตรีอีกด้วยแล้วจัดให้กุมารทั้งสองไปเที่ยวสวดแสดงในสถานที่ชุมนุม ประชุมบรรดาพราหมณ์ทุก ๆ สถานที่ โดยทั่วที่มีพราหมณ์ จนกระทั่งเลยเข้าไปยังกรุงอโยธยา แล้วกุมารทั้งสองก็ได้สวดแสดงถวายองค์พระรามทรงรับฟังหลังจากที่พระรามได้กลับมาเป็นพระนารายณ์ ดังเดิมและเสด็จไปบรรทมสินธุ์ที่บรรลังก์อนันตนาคราช ในท้องทะเลเกษียณสมุทรตามเดิมแล้ว พระฤาษีวาลมีกิ ก็ได้เลื่อนฐานะ ขึ้นชั้นพรหมโลก ได้เป็นพระพรหมฤาษีวาลมีกิ ------------------------------------------ --------------------------------------------ขอยกความดีความชอบ ของความพยายามในการรวบรวมเรื่องราว ให้ อาจารย์ ว.จีนประดิษฐ์ และชาวคณะที่ได้จัดทำ นำความรู้เสริมมาให้ครับ******
ขอคารวะ สักการะแด่บรมครู ปู่ฤาษีทุกองค์ ทวยเทพทุกวิมาน ต่อครูอาจารย์ ต่อสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย ในการที่ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวของประดาผู้มีฤทธิ์เดชาและตบะบารมี มากล่าวอ้าง มิใช่จะอวดรู้ แต่เจตนาที่จะประวัติทุกท่านที่ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มาแล้วตั้งแต่อดีต มาเผยแพร่สู่ปัจจบัน แม้จะแค่บางส่วนเสี้ยวก็ยังดีด้วยความเคารพอย่างสูง



ฤาษีกไลโกฏิ
พงศ์ในรามเกียรติ์: ฤาษี
ประเภทหัวโขน: ฤาษีที่ทำพิธีหุงข้าวทิพย์
ลักษณะหัวโขน: ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี หัวโขนบางหัวจะทำเขาโผล่ขึ้นมา
รายละเอียด: พระฤาษีกไลโกฏ เป็นบุตรพระมุนีชื่ออิสีสิงค์ บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าศาลวัน เมืองพัทวิสัย




คือพระฤาษีประไลยโกฐ เป็นครูแห่งการร้องรำ ทรงครองเพศเป็นฤาษี แต่มีหน้าเป็นเนื้อ มีเขาเป็นวัวด้วยท่านกำเนิดจากวัวและกวาง แต่ได้บำเพ็ญจนคืนร่างเป็นมนุษย์ และได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการร้องทั้งปวง

ครับชื่อว่า ฤาษีกไลโกฎ ซึ่งในรามเกีรยติ์ในตอน นารายณ์อวตาร ก็มีชื่ออยู่ด้วยใจความว่า ฝ่ายท้าวทศรถนั้น มีเพื่อนเป็นพญานกชื่อสดายุ พระองค์ไม่มีโอรสธิดาเห็นว่าจะไม่มีใครสืบราชสมบัติ จึงทำพิธีขอโอรสที่มีฤทธิ์แต่ไม่สำเร็จ จึงไปนิมนต์ฤาษีกไลโกฎ ฤาษีกไลโกฎได้พาฤาษีอีก 4 องค์ ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้ แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น

ฤาษีที่ทำพิธีหุงข้าวทิพย์ในกรุงอโยธยามี 5 ตนกไลโกฎ-ฤาษีลักษณะหัวโขน ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี หัวโขนบางหัวจะทำเขาโผล่ขึ้นมาอีกด้วย พระฤาษีกไลโกฎ เป็นบุตรพระมุนี ชื่อ อิสีสิงค์ บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าศาลวัน เมืองพัทวิสัย แห่งท้าวโรมพัตตัน บิดาเคยสั่งห้ามมิให้แตะต้องสัตว์ซึ่งมีเขาที่อก มีตบะเดชแก่กล้าจนทำให้ฝนแล้งไปสามปี ท้าวโรมพัตตันใช้ให้พระธิดาชื่อ อรุณวดี ไปทำลายตบะ ฝนก็ตกต้องทั่วแผ่นดิน เมื่อพระกไลโกฎเสียตบะ และยังติดใจในกามรสจึงเข้าไปอยู่ในกรุงพัทวิสัยกับชายา ต่อมาท้าวทศรถไปทำพิธีขอโอรส พระกไลโกฎ ได้ไปเป็นประธานในการทำพิธี

ฤาษีกไลโกฎ เป็นฤาษีที่มีตบะญาณแก่กล้ามากจากตัวอย่างที่ว่า ด้านเมืองโรมพัตตัน มีท้าวโรมพัตเจ้าเมืองโรมพัตตัน เมืองนี้ฝนไม่ตกมาเป็นเวลาสามปี เกิดทุพภิกขภัย จึงให้จัดพิธีขอฝน แต่ไม่เป็นผล ต่อมาทราบว่าเพราะมีฤาษีตนหนึ่งชื่อกไลโกฎ บำเพ็ญตบะญาณแก่กล้าจนเกิดฝนแล้งขึ้น ท้าวโรมพัตจึงให้ธิดาชื่อนางอรุณวดี ไปทำลายพิธี โดยยอมเป็นเมียฤาษี

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ท่านช่วยในด้านไหนคะ