วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โคตรเหล็กไหล


โคตรเหล็กไหล (เหล็ก ไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่
ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ

โคตรเหล็กไหลที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ

หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้เคยให้ลูกศิษย์นำเอา โคตรเหล็กไหลก้อน ใหญ่
สีสวยงาม เงาวับเป็นชั้น ๆ คล้ายเห็ดที่งอกเป็นกอมอบให้แก่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ เพื่อตั้งแสดงให้แก่ อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้ากัน

ดัง นั้นผู้สนใจอาจเข้าชมได้ตามวันเวลาที่กำหนด หรือ ชมโคตรเหล็กไหลชนิดเดียวกันนี้ได้ ที่พิพิธภัณฑ์เหล็กไหลวัดถ้ำแฝด ซึ่งเป็น
ศูนย์รวมของ ธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่าง ๆ ที่หาได้ยาก บางอย่างจะมีชมได้ที่วัดถ้ำแฝดเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ปริศนาของเหล็กไหล

เมื่อเราได้มีโอกาสศึกษา

ตำนานเหล็กไหลของวัดถ้ำแฝด ซึ่งถ่ายทอดมาจากความทรงจำของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ผู้ เป็นปรมาจารย์ผู้ลือเลื่องในเรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์ที่พิสดารแล้ว ก็คงสรุปได้ว่า เหล็กไหลที่แท้จริงถึงขั้นยืดได้หดได้นั้นมีน้อยมาก และหาได้ด้วยความยากลำบาก
เพราะไม่ ใช่เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจากเกจิอาจารย์ผู้สำเร็จไตรเพท หรือฤาษีดาบสผู้สำเร็จฌาณสมาบัติ โดยท่านเหล่านั้นต้องการทดสอบความรู้ที่ได้
เล่าเรียนมา

หลวงปู่สุภา กันตสีโล อายุ 101 ปี วัดเขารัง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า .ชัยนาท ผู้ทรงภูมิความรู้และเชียวชาญในเรื่องธาตุ ได้เคยสนทนากับ
หลวงพ่อสัมฤทธิ์
ในคราวที่ไปร่วมงานพุทธาภิเษก ณ วัดฉลอง จ
.
ภูเก็ต ถึงเรื่องราวของเหล็กไหล และที่วัดของท่านก็มี เหล็กไหลสีเขียวปีกแมลงทับให้ผู้ศรัทธาได้บูชาอยู่เหมือนกัน

นอก จากนี้ยังได้เปิดเผยถึง ตำราการสร้างเหล็กไหลจากอำนาจของฌาณ โดยการ
จัดหาวัสดุ ต่าง ๆ มาผสมกัน เมื่อผสมครบถ้วนแล้วก็ใช้ ธาตุไฟชาร์จจนวัสดุนั้นเริ่มแข็ง
เป็นหิน แล้วทำการชาร์จไปทุกวันจนกว่าวัตถุธาตุนั้นเปลี่ยนเป็นสีปีกแมลงทับที่เรียก
กันว่า เหล็กไหล

วัสดุที่จะนำมาทำพิธีจัดสร้างเหล็กไหลนั้น ประกอบไปด้วย ไพลดำ ขมิ้นขาว
แม่ผึ้ง
49 ตัว เมื่อสร้างสำเร็จแล้ว เพียงเทน้ำผึ้งใส่จานแล้วจับท่อนเหล็กไหล
ให้มั่นคง เหล็กไหลนั้นก็จะย้อยลงมากินน้ำผึ้ง เมื่ออิ่มแล้วก็จะหดตัวกลับมาเอง หลวงปู่สุภาได้กล่าวกับหลวงพ่อสัมฤทธิ์ว่า เหล็กไหลของวัดถ้ำแฝดสามารถนำมาดัดแปลงให้เป็นเหล็กไหลแท้ ๆ ได้

โคตรเหล็กไหล
โคตรเหล็กไหลนี้ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้มีโอกาสพบภายในถ้ำแห่งหนึ่งในเขตกาญจนบุรี ด้วยความที่เป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านเกี่ยวกับ “เหล็กไหล” จึงมักมีชาวบ้านหรือพรานป่ามาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อว่าน่าจะเป็น“เหล็กไหล”
ให้ ฟังอยู่เสมอ บางครั้งก็ได้มีโอกาสพบเห็น แต่ไม่มีวาสนาได้มา บางครั้งก็ไม่มีโอกาสได้พบเลย นอกจากเล่าขานกันมาเป็นตำนาน พอมีใครเอาอะไรมาให้ดูแล้วบอกว่าเป็น เหล็กไหล ก็คิดว่าเป็นจริงเป็นจังก็มี เพราะความที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนั่นเอง
เมื่อปี พ.ศ. 2510 ก่อนเข้าพรรษาประมาณ 2 เดือน ได้มีพรานป่าจากเขตศรีสวัสดิ์ ใกล้กับทางท่ากระดาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอิสานมาจับจองทำไร่อยู่ มาเล่าให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ฟังถึงเรื่องราวพิสดารบนถ้ำแห่งหนึ่ง ใกล้เขตแดนพม่า
ว่า เคยพบถ้ำแห่งหนึ่งอยู่บนเขาสูง อากาศค่อนข้างเย็น มีเมฆปกคลุมเกือบตลอดปี ได้เคยพยามจะเข้าไปสำรวจที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าจะมีงู ตัวยาวสีดำและขาวคู่หนึ่งเลื้อยขวางลำ
อยู่ หน้าถ้ำเป็นประจำ จนไม่กล้าผ่านเข้าไป น่าจะมีความลับที่ สำคัญบางอย่างอยู่ภายในถ้ำ อาจเป็นสมบัติหรือของศักดิ์สิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงอยากนิมนต์หลวงพ่อไปพิจารณา
ให้หน่อยหลวงพ่อท่านก็เลยตัดสินใจที่จะไปสำรวจกัน พอไปถึงที่ถ้ำแห่งนั้นก็พบความจริง
ตามที่ พรานป่ามาเล่าให้ฟัง คือมีงูตัวยาวประมาณ 2 เมตรเศษคู่หนึ่งคล้ายเฝ้าปาก
ถ้ำอยู่ ท่านจึงได้จัดเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียน เครื่องบวงสรวงพลีกรรม ที่ได้จัดเตรียมไว้แล้วบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าถ้ำเจ้าหนอง ที่ปกปักรักษา
สถานที่ เพื่อทำพิธี เปิดถ้ำ
หลังจากทำพิธีกรรมบวงสรวงเสร็จแล้ว รอจนธูปที่ปักไว้มอดเกือบหมด จึงได้เริ่ม
เคลื่อนที่ เข้าสู่ปากถ้ำ สายตาก็สอดส่ายด้วยความระแวงภัย แต่ก็ไม่ปรากฏงูดังกล่าวแสดงตนออกมาให้พบเห็น ท่านจึงเชื่อว่าคงจะเป็นงูลมเสียมากกว่าที่ทำภาพมายาหลอนผู้ที่จิตไม่ บริสุทธิ์ไม่ให้กล้ำกรายเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ภายในถ้ำเป็นทางเดินทอดยาวลึกและมืดพอสมควร ต้องอาศัยเทียนใหญ่และไฟฉาย
ส่องนำทาง พอเดินเข้ามาได้ 50 เมตรเศษ พบเป็นทางสามแพร่ง ก็เลยตัดสินใจเสี่ยงทายอธิษฐานจิตเข้าไปทางขวามือก่อน
พอเดินไปได้ 5 นาทีพบทางตีบลง แต่มีโพรงใหญ่พอมุดเข้าไปได้ไม่ไกล พบเป็นห้องโถงใหญ่บรรจุคนได้เป็นร้อย เพดานถ้ำสูงแต่ทึบ เหมือนเป็นถ้ำใหญ่
ภายในภูเขา แต่อากาศเย็นสบาย แสดงว่ามีช่องถ่ายเทอากาศติดต่อภายนอก
จึงได้ใช้เทียนชูสูงขึ้นเพื่ออาศัยแสงสว่างมองทัศนียภาพโดยรอบถ้ำ ก็เหมือนกับ
ถ้ำทั่วไป แต่ฉับพลันหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้สัมผัสเห็นแสงสว่างแวววาวยามสะท้อน
กับแสงไฟ ก็นึกสงสัยจนต้องขอไฟส่องใกล้ ๆ ก้อนหินเหล่านั้น กลับพบว่าตามผนังถ้ำ
พื้นถ้ำเพดานถ้ำบางแห่งมีหินสีดำสนิทมันวาวโดยธรรมชาติขึ้นแทรกปนอยู่กับหินธรรมดา
มีลักษณะ การงอกที่ แปลกพิสดาร ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน รู้สึกสวยงามดื่มด่ำ จนอด
ตื่นเต้นไม่ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ระยะเวลาที่ผ่านไปนานมาก หลวงพ่อจำรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่นี้ไม่ได้แล้ว เพราะตอนไปนั้นมีผู้นำทางไป แต่ปัจจุบันบุคคลเหล่านี้เสียชีวิตไปนานแล้ว
โคตรเหล็กไหลแหล่งใหม่
หลวงพ่อได้ค้นพบโคตรเหล็กไหลชนิดเดียวกันนี้ที่บริเวณ "เขาอึมครึม"
อ. หนองปรือ จ.กาญจนบุรี บริเวณเขาอึมครึมแห่งนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็น
เทือกเขายาว อากาศเย็นและมีหมอกปกคลุมอยู่โดยตลอดทั้งปี จึงเป็นที่มาของ
ชื่อ
"เขาอึมครึม" กล่าวกันว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้ค้นพบ
ถ้ำแห่งนี้ และได้นำเอาแร่เหล่านี้มาถลุงเป็นโลหะเพื่อใช้ประโยชน์ในกองทัพ

ชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่า ผู้ใดได้บูชาโคตรเหล็กไหลเขาอึมครึมไว้กับบ้านแล้ว จะประสพแต่ความร่ม
เย็นเป็นสุข เหมือนเขตขุนเขาแห่งนี้ที่มีความเย็นตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ มีอำนาจทางคงพระพันหนัง
เหนียว ปลอดภัยจากอาวุธของมีคม และยังมีคุณสมบัติ
พิเศษพกติดตัว ในทางป้องกันสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ รวมทั้งอสรพิษด้วย หรือหากใครถูกสัตว์เขี้ยวงา
กัดเอา เช่นตะขาบ แมงป่องขบกัดเอา ท่านให้ใช้แร่โคตรเหล็กไหลทำการดูดพิษได้ โดยเอาตัวแร่มาแนบปิดไว้ที่แผลเพียงไม่นานอากรปวดก็จะบรรเทา
ลักษณะของโคตรเหล็กไหล
เหตุที่เรียกว่า“โคตรเหล็กไหล”เพราะ มีลักษณะการเกิดที่พิสดาร
เนื้อเดิม ๆ ก็ เหมือนกับก้อนหินทั่วไป แต่พื้นผิวกับงอกขึ้นมาเองเป็น
ผิวมันสีดำสนิท เม็ดเล็กตั้งแต่ ขนาดเท่าปลายเข็ม ไข่ ปลาดุก เม็ดถั่วลิสง
เม็ดพุดทรา เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน หนาบ้างบางบ้าง บางแห่งเหมือนการหยดหรือไหลย้อย ทำให้นึกถึงเหล็กไหลที่เราเคย
ได้ยินกันว่า สามารถเคลื่อนที่ไปตามพื้นถ้ำ ผนังถ้ำ ตามรอยแยกรอยแตกของส่วนต่าง ๆ
ภายในถ้ำ
แต่ ที่มันแปลกมากก็คือ พื้นเดิมของมันเป็นหินแน่นอน แต่พองอกออกมากลับกลายเป็นเนื้อแกร่ง
คล้ายเหล็ก ถ้าไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ทึกทักเอาว่าเป็นเนื้อโลหะ ธรรมชาติสร้างได้พิสดาร จึงน่าจะมีความพิสดารอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน ควรที่จะได้ทำการศึกษาให้
ละเอียดต่อไปหลวงพ่อจึงได้ให้ผู้ที่ติดตาม หาค้อนขนาด 8 ปอนด์มาทุบที่ผนังหิน ปรากฏว่าแข็งมากไม่ยอมหลุดออกมา ต้องใช้วิธีสกัดก้อนหิน ที่เป็นโคตรเหล็กไหลนี้ออกมาทั้งก้อน แล้วจึงนำมาสกัดเนื้อหินออกคัดเฉพาะตัวโคตรเหล็กไหลออกมา ซึ่งมีหลายรูป
ทรงตามธรรมชาติ แต่พอหลุดออกจากผนังหินออกมากับไม่แข็งมากเท่าที่คิด เอากระดาษทรายขัด
ออก
เหล็กไหลโคตรทรหด
หลวงพ่อได้กล่าวต่อไปว่า ธรรมชาติของโคตรเหล็กไหลนั้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ชั้นสุดยอดนั้นสามารถทำการลนเอาตัวยอดเหล็กออกมาได้และยอดเหล็กที่ย้อย
ออกมา นั้นก็คือ เหล็กไหลน้ำหนึ่งตามธรรมชาติที่เคยเล่าขานกันมานาน บางทีก็เรียก
ขานกันว่า "ยอดทรหด" หรือ "โคตรทรหด" ก็มี เพราะย่อมหมายถึงสุดยอดของเหล็กไหลน้ำดีชั้นยอดที่เกิดจากโคตรเหล็กไหลนั่นเอง
โคตรเหล็กไหลหรือโคตรทรหดนี้มีลักษณะที่ค่อนข้างพิเศษที่สังเกตได้ง่ายคือ มีลักษณะรวมตัวกัน
เป็นมัด ๆ คล้ายกล้ามเนื้อคน ผิวลื่นมันระยับ มีหลายสีด้วยกัน บางชนิดสีดำสนิทดุจนิล เขียวอมดำก็มี บางทีจะพบเห็นเป็นเหลือบลายสีรุ้ง เหลือบสีเขียวปีกแมลงทับ ยิ่งโดนแสงแดดจัด ๆ กระทบเข้าด้วย
แล้ว จะยิ่งทอแสงเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มองแล้วชวนให้ลุ่มหลงไม่น้อยทีเดียว
เหล็กไหลงอก
นอกจากเหล็กไหลโคตรทรหดแล้ว ยังมีโคตรเหล็กไหลชั้นยอดอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากเช่นกัน
เรียกกันว่า "เหล็กไหลงอก" โคตรเหล็กไหล"ประเภทนี้จะมีลักษณะ
เป็นเม็ด ๆ คล้าย
ไข่ปลาดุก หรือ เกล็ดปลากระดี่ บางครั้งหากงอก
เพิ่มขึ้นมามาก ๆ ก็จะรวมตัวกันคล้ายรวงผึ้งหรือไข่ปลาดุกเกาะติด
กันเป็นแพ จึงเป็นเผ่าพันธ์ของเหล็กไหลที่มีความแปลกไปอีกอย่างหนึ่ง

โคตรเหล็กไหลงอก
โคตรเหล็กไหลทุกประเภท สามารถที่จะ "งอก" ขึ้นมาเองได้โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นก้อนใหญ่ หรือก้อนเล็กก็ตาม แม้แต่ก้อนขนาดเล็กที่นำมาเลี่ยม
แขวนติดตัว ก็งอกขึ้นมาเองจนกรอบพลาสติกแตก หรือต้องคอยเปลี่ยนกรอบ
อยู่เสมอ เพราะจากตุ่มเพียงปลายเข็มก็อาจจะโตใหญ่ขึ้นมาเท่ากับเม็ดถั่วลิสง
ได้โดยใช้เวลาไม่นานเพียงแต่การงอกนั้นจะช้าหรือเร็วก็ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคล
และสถานที่ด้วย
สำหรับ ผู้หมั่นบำเพ็ญเพียรทางจิตที่แผ่พลังเมตตา
ถึงโคตรเหล็กไหลอยู่เสมอหรือเป็น ประจำ จะพบว่าการงอกหรือโตนั้นจะเร็วมาก แต่ถึงจะทิ้งไว้บนหิ้งหรือเก็บไว้เฉย ๆ มันก็คงจะงอกเองโดยธรรมชาติอยู่ดี เพียงแต่ช้า
หน่อยเท่านั้น ซึ่งย่อมแสดงว่าเหมือนเป็นสิ่งมีชิวิตเผ่าพันธ์หนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตได้
เรื่องของเหล็กไหลจึงเป็นเรื่องของ อจินไตยที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ จึงไม่ควรนำไปขบคิด
จนมากเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกใบนี้มานาน
แสนนาน ขณะที่ชีวิตมนุษย์สั้นเพียงไม่เกิน 100 ปี ไหนเลยจะสามารถศึกษาค้นคว้าด้วย
ตนเองได้ แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นรูปธรรมได้ แต่ก็ไม่ควรถึงกับปฏิเสธเสียทีเดียว ต้องเข้าใจว่าของจริงก็ย่อมมี ของเทียมก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน สิ่งไรแท้สิ่งใดเทียม มีซักกี่คนที่เคยพบเห็นหรือมีความรู้ความเข้าใจ เพียงแต่ฟังเขาเล่าว่าหรือกล่าวขานกันมาตามตำนานเท่านั้น เว้นแต่ผู้มีอภิญญาจิต
จึงจะเข้าใจ เพราะพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อาจวัดได้ด้วเครื่องมือทางเทคโนโลยี่ได้
นั่นเอง

สีสันของโคตรเหล็กไหล

1. สีดำเหมือนนิล

2. สีเทาดำ

3. สีเขียวอมดำ

4. สีเขียวปีกแมลงทับ

5. สีรุ้ง 7 สี

โคตรเหล็กไหลเหล่านี้ หากนำมาขัดด้วยกระดาษทรายจะปรากฏสีที่แปลกดังนี้

1. สีแดงอย่างอิฐมอญ

2. สีเหลือง หาได้ยากกว่าสีแดง

3. สีดำ ล้างออกยากกว่าสีแดงและสีเหลือง

โคตรเหล็กไหลนี้มิใช่จะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยเท่านั้น พระเกจิอาจารย์ทางฝั่งพม่าก็มีความรอบรู้เกี่ยวกับโคตรเหล็กไหลนี้ได้ดี เหมือนกัน เล่ากันว่าทางชายแดนพม่านั้นนิยมเอาโคตรเหล็กไหลนี้แช่ไว้ในขวดน้ำผึ้ง ผสมกับตัวยาสมุนไพรบางอย่าง ฝานมะนาวเป็นแว่นลงไป สามารถนำไปใช้รักษาโรค
ได้หลายชนิด

ครูบาอาจารย์บางท่านก็นำไปแช่ทำน้ำมนต์ ด้วยการกำหนดจิตเพ่งกสิณอภิญญา เพื่อให้อานุภาพของโคตรเหล็กไหลแผ่พลังออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อทำน้ำเปล่า ๆ นี้เป็นน้ำทิพย์มนต์เหล็กไหลที่เต็มไปด้วยประจุพลังเหล็กไหล ใช้ได้สารพัดประโยชน์รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บด้วยเช่นกัน

การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้
ลึกละเอียดมองเห็นและถ่ายทอดออก

มาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวด
ยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกันเหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์
สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่า นั้น !!

วันที่ 30/12/2007
เวลา 06:58:14

ไม่มีความคิดเห็น: