วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

การเปิดพระโอษฐ์

การเปิดพระโอษฐ์ คืออะไร..??

การเปิดพระโอษฐ์ หมายถึงการเชิญองค์บารมีประจำสังขารของตนลงมาประทับร่าง และพาสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติพระกรรมฐานในภาษาดั่งเดิมของเทพ พรหมแต่ละองค์ ซึ่งภาษาเหล่านี้ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เว้นแต่ผู้ที่มีองค์เทพพรหมมาปฏิบัติอยู่ด้วยจึงจะเข้าใจความหมาย ภาษาที่เทพพาสวดนั้นมีหลายชาติหลายภาษาเฉกเช่นมนุษย์โลกในปัจจุบัน เช่น ฮินดู ทิเบิต จีน ญวน ลาว มลายู อังกฤษ พม่า เขมร เป็นต้น เพราะเนื่องจากภาษาที่ใช้นั้นเป็นภาษาโบราณครั้งก่อนพุทธกาล เราสามารถรู้ว่าเป็นของชาติใดก็อาศัยฟังจากสำเนียงที่พูดออกมา แต่เจ้าของภาษาในปัจจุบันก็คงฟังไม่ออก เพราะเป็นภาษาโบราณนับพันปีมาแล้วนั่นเอง

ภาษาในภพภูมิต่าง ๆ นั้นย่อมมีภาษาของตนเองแตกต่างกันไป แต่สามารถที่จะสื่อให้เข้าใจกันได้ เช่นประเทศไทยมีหลายภาคหลายภาษา แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว แม้ต่างภาคกันก็ย่อมเข้าใจกันได้ เช่น คนภาคอิสานสามารถฟังภาษากลาง ภาษาใต้ และภาษาล้านนา ได้เข้าใจ แต่ไม่อาจพูดได้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา เช่นกันกับภาคอื่นก็เข้าใจภาษาอิสานเช่นกัน แต่พูดไม่เป็นเหมือนกัน แต่ฟังแล้วก็เข้าใจกัน

ในภพภูมิต่าง ๆ นั้น เช่น พรหม เทพชั้นสูง เทพ ยักษ์ คนธรรพ์ นาค นาคี บังบด แม่ธรณี พญายมราช ก็ย่อมมีภาษาของตนเองเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์เราย่อมเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง 3 มานานนับไม่ถ้วน ดังนั้นดวงจิตเหล่านี้ย่อมจะจดจำภาษาต่าง ๆ ที่เราเคยใช้มาก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะบางชาติเราอาจจะเกิดในแผ่นดินทิเบต จีน ไทย เขมร ลาว ญวน ก็แล้วแต่ หรือเกิดอยู่ในชั้นเทพ ชั้นพรหม ชั้นบาดาล โดยมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน และเมื่อถึงเวลามาจุติในมนูษย์โลกนี้ ก็จะมีครูบาอาจารย์ทั้งที่เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ อริยเทพ เทพเทวดาในระดับต่าง ๆ ติดตามคุ้มครองช่วยเหลือร่างนี้ให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง ขณะเดียวกันก็พาร่างนี้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีควบคู่กันไป แม้ละจากโลกนี้ไปก็จะได้จุติในภพภูมิเดิมหรือสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การเปิดพระโอษฐ์เชิญองค์บารมีลงประทับนั้นหาใช่ว่าจะทำให้ร่างนั้นร่างทรงก็หาไม่ เพราะในขณะที่อัญเชิญท่านลงมานั้นเราจะมีสติอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าไม่อาจจะฝืนอาการเหล่านั้นได้ เช่น ขนลุกซู่ชูชัน ปากสวดหรือพูดภาษาที่ฟังไม่ออก มือ แขน ขา มีการขยับในอาการกริยาต่าง ๆ หนักตัว มือไม้ชา เป็นต้น การเปิดพระโอษฐ์นั้นเพื่อ ไล่ผี ปราบมาร ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในโชคชะตาราศีแก่ผู้อื่น เทพส่วนมากจะลงมาคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้นโดยจะไม่ยอมช่วยเหลือใคร เพราะว่าเทพแต่ละองค์ท่านจะทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น รักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยผ่านทางญาณเทพที่อยู่กับร่าง มันจะเกิดความรู้แปลก ๆ ผุดขึ้นมาทางจิต แล้วพูดทายทักออก


ไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่การลงประทับทรงอย่างที่เคยเห็น เพราะลักษณะร่างทรงนั้นส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมา เวลาท่านลงร่างจะมีอาการสั่นอย่างรุนแรงและจะไม่มีสติรู้สึกตัวว่า พูดหรือทำอะไรออกไป จนกว่าญาณเทพจะถอยออกจึงจะเป็นตัวของตัวเอง และมีผู้มาเล่าให้ฟังในภายหลัง ส่วนมากองค์เหล่านี้จะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนเปิดออกมาแทนที่จะเป็นองค์สังขารบารมี กลับกลายเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา อาจจะเป็นวิญญาณทั่วไปหรือเป็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรก็ได้

การเปิดพระโอษฐ์หรือเปิดภาษาเทพนั้น ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับบารมีเดิมของแต่ละคน บางคนสามารถพูดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่บางท่านก็ต้องใช้เวลาสวดยัติให้หลาย ๆ ครั้ง ภาษาที่ได้นั้นจะมีหลายภาษา ขึ้นอยู่กับการขยันเรียนของคนนั้นด้วย ถ้าได้แล้วขี้เกียจเรียนนาน ๆ เข้าก็จะเสื่อมหรือคลายหายไป

ถ้าผู้ใดหมั่นฝึกฝนปฏิบัติก็จะพัฒนาก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป

แม้ว่าจะสามารถเปิดภาษาเทพได้ แต่ก็จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คือไม่เข้าใจภาษานั่นเอง ร่างนั้นก็จะต้องฝึกฝนในขั้นต่อไป คือการสื่อสารเข้าใจในภาษาที่องค์เทพท่านพูด โดยการฝึกฝนทางจิตอย่างที่เราเรียกว่าโทรจิต แม้จะใช้ภาษาใด ๆ ก็เข้าใจได้โดยจิตที่เราเรียกกันว่า นิรุติหรือภาษาศาสตร์

หรือให้องค์บารมีท่านพูดเป็นภาษาไทยเลยหรือสามารถแปลความหมายของภาษาเทพได้นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุหลายประการคือ

  • บารมีเดิมของแต่ละบุคคล -คนมีบารมีมากย่อมสามารถพ

    ูดภาษาเทพได้เร็วภายในไม่กี่นาที

  • สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เป็นประจำ- เพื่อปรับสภาวะจิตของเราให้ให้มีคลื่นความถี่ตรงกับสภาวะเทพ

  • ขยันเรียน ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ -เหมือนคนขยันเรียนก็จบหลักสูตรเร็ว

  • รู้จักพัฒนาวิชชาความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตให้เกิดประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง


ประโยชน์/การปฏิบัติตน/การฝึกในขั้นสูง



คนเราเกิดมาจะมีองค์บารมีคุ้มครองสังขาร เรียกว่า "เทวดาประจำตัว" ที่ทักกันว่ามีองค์นั้น มีกันทุกคน จะเป็นเองคเทพ- พรหมหรือสัมภเวสี ก็แล้วแต่กุศลมูลเดิมหรือสัญญาที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ คนเราไม่สามารถที่จะเลือกองค์
บารมีประจำสังขารได้ ขึ้นอยู่กับกุศลและบารมีของผู้นั้น บุคคลใด ที่พูดว่าเทพองค์นั้นองค์นี้ เสด็จมาประทับร่างของตน
นั้น เป็นการหลงเข้าใจผิด โดยไม่รู้จริง องค์เทพที่เจ้าตัวได้คุยเอาไว้นั้น สาวนใหญ่ จะเป็นสัมภเวสี วิญญาณระดับ
เจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่มีฤทธิ์ไปช่วยเหลือมนุษย์อื่นใดได้หรือ?

เทวดาประจำตัวเรานั้นจะอยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก รอบๆตัวเรา การเชิญองค์บารมีหรือเทวดาของตนเองมาประทับร่าง หรือเรียกว่า “ การเปิดพระโอษฐ์” ใช่ว่าเมื่อเปิดแล้วจะได้เป็น “ คนทรง” หรือ “ ร่างทรง” อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ เพราะว่าเทพแต่ละองค์นั้นท่านจะมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น เปิดพระโอษฐ์ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ปราบมาร ปราบผี ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในทางโชคชะตาราศี เทพส่วนมากจะลง
มาเพื่อคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้น ดลจิตใจผู้นั้นให้ญาณ หรือสัมผัสทิพย์ ก็แล้วแต่องค์ของผู้นั้นท่านจะให้รู้อะไร โดยจะไม่มีหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้อื่น

ดังที่เห็นสำนักทรงจำนวนมากที่เทพของตนเองไม่มีหน้าที่ หรือว่าร่างทรง หรือคนทรงนั้นไม่มี “ บารมี” พอที่จะเปิดพระโอษฐ์เชิญเทพลงมาได้ จึงมักหาวิธีการหลอกหากินด้วยการให้รับขันธ์ เทพต่างๆ ก็แล้วแต่จะอุปโหลก

ชื่อเทพดังๆ ให้หลงเชื่อรับขันธ์เทพ หาเงินทองเข้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสัมภเวสีทั่งสิ้น เพราะเจ้าตำหนักทรง
ก็เป็นพวกเดียวกัน บ้างก็จัดฉากแต่งตัวเลียนแบบเทพสร้างภาพยกย่อง เพื่อที่จะผูกมัดใจให้ศิษย์ ให้หลงอยู่กับเจ้าสำนัก เพื่อที่จะให้ลูกศิษย์คนนั้นพาญาติสนิทมิตรสหายมาหากันมากๆ เพื่อที่จะได้ลาภสักการะต่อไป

องค์บารมีประจำสังขาร ถ้าเปรียบกับพระไตรปิฎก ( คนที่มีไว้แต่ไม่เคยเปิดอ่านเลย หรือเมื่อเปิดอ่านแต่ก็ไม่เข้าใจ
ก็คงจะต้องมีพระมาแปลให้ และถึงแม้ว่าจะได้เล่าเรียนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ได้ตกทอดกันมา 2550 ปีแล้วก็ตาม หากไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็หาเกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้อ่านไพระไตรปิฎกไม่)

องค์บารมีประจำสังขารก็เช่นเดียวกัน เมื่อไม่ได้เปิดองค์ลงมาประทับร่าง ก็มีไว้เพียงคุ้มครองเจ้าของร่างได้เป็นบางคน
เท่านั้น ( แต่ไม่ทุกคน) หากองค์บารมีคุ้มครองสังขารของมนุษย์ได้ทุกคน คนเราก็คงจะไม่ประสบกับเคราะห์กรรม เจ็บป่วย ไม่ประสบอุบัติเหตุ ไม่ถูกผีเข้า หรือถูกคุณไสย และอีกประการหนึ่ง องค์บารมีก็ไม่สามารถป้องกันร่างจาก เจ้ากรรมนายเวร
ในอดีตชาติ ที่ติดตามมาทวงหนี้ในชาตินี้ได้ พูดกันง่ายๆ องค์จะลงต้องเคลียร์สิ่งต่างๆ ที่แทรกในตัวออกก่อน

ฉะนั้นการ เปิดพระโอษฐ์” หรือการเปิดให้คนเรานั้นพูดภาษาเทพได้ จะทำให้เทพที่คุ้มครองร่างของเราสามารถลง
มาประทับร่างได้ บางคนได้สร้างสมบารมีเอาไว้ในอดีตชาติมามาก มีกุศลมูลเดิมมามาก เมื่อเปิดแล้วจะพูดภาษาเทพ
ได้อย่างคล่องแคล่ว ภายในเวลาอันรวดเร็ว

ซึ่งถ้าปฏิบัติไปอีกไม่นานก็จะสามารถสื่อกับองค์บารมีเป็นภาษามนุษย์ได้ “ คนที่ไม่ได้มีสะสมบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ และในชาตินี้ไม่ได้สร้างตนโดยการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิกรรมฐาน ไม่รู้จักให้ทาน ก็จะเปิดให้พูดภาษาเทพได้ยาก ( ต้องทำการประจุองค์พระธรรมให้มาก)

ส่วนมากองค์เทพเหล่านี้จะลงประทับร่างเพื่อมาคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนที่เปิดออกมา แทนที่จะเป็นองค์บารมีประจำ
สังขาร กลายเป็นว่าเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา เป็นวิญญาณเร่ร่อน หรือวิญญาณที่ถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย ซึ่งส่วนมาก

จะเป็นวิญญาณผีตายโหงทั้งสิ้น

ศิษย์ที่อาจารย์เปิดปากให้พูดภาษาเทพได้ เป็นส่วนมากที่ “ พูดภาษาเทพได้ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง” คือแปลภาษาเทพไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วเป็นความลับสวรรค์ ห้ามแปล บางครั้งก็สามารถรู้ในจิตได้

เทพ - เทวดานั้น มนุษย์ที่จะสื่อกับท่านได้รู้เรื่องจะต้อง

๑ . เป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดพอสมควร

๒ . มีบารมีสะสมมาจากอดีตชาติ

๓ . ศรัทธาในองค์บารมีประจำสังขารของตนเอง

๔ . ปฏิบัติตน สร้างบารมี มีศีลธรรม

ถ้า ไม่ปฏิบัติตน ในที่สุดก็จะห่างเหินจากองค์บารมีของตนเอง ก็จะไม่สามารที่จะพูดภาษาเทพได้อีกเลย และในที่สุดก็จะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากองค์พระบารมีได้

ผลพลอยได้จากการเปิดพระโอษฐ์

๑ . ทำให้ทราบว่ามีวิญญาณของบรรพบุรุษที่เรียกว่า “ ผีปู่ย่า” วิญญาณทั่วๆ ไป เช่นวิญญาณผีตายโหง ซึ่งถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย อยู่ในร่างของผู้มาเปิดพระโอษฐ์ หรือไม่ ?

๒. บรรพบุรุษของบางท่านที่มีเชื้อสายจีน ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญทำทานไปให้ ก็จะมาเกาะกินกับลูกหลาน
เป็นวิญญาณที่อด ๆ อยาก ๆ เพราะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล แทนที่จะมาช่วยร่างกลับกลายเป็น
ว่าไม่เป็นผลดีกับลูกหลานเลย วิญญาณประเภทนี้แก้ไขด้วยการทำสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ วิญญาณประเภทนี้ไม่สามารถขับไล่ได้

๓. วิญญาณที่มาเกาะหรือแฝงอยู่ในตัว จะทำให้สังขารของคนผู้นั้นไม่สบาย ปวดหัว ปวดแขน ปวดขา กลายเป็นคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง วิญญาณพวกนี้จะต้องขับไล่ออกไป เพราะว่ามิใช่ให้โทษเฉพาะการเจ็บป่วยเท่านั้น แต่จะส่งผลให้กิจการค้าและครอบครัวมีแต่ความวุ่นวายไปหมดทุกอย่าง ไม่มีความเจริญก้าวหน้าใด ๆ ในชีวิตของคนผู้นั้นเลย

๔. วิญญาณระดับสูงที่เรียกว่า “ มาร” นั้นจะเป็นเทวดาฝ่ายมาร ซึ่งเรียกว่า “ มารเบื้องสูง” สังขารที่มารเหล่านี้สิงสถิตอยู่ จะเป็นมนุษย์ขี้คุยโม้โอ้อวด ชอบที่จะอ้างว่าตนเองนั้นมีเทพองค์ใหญ่ ๆ ทั้งนั้นลงมาประทับร่าง มารประเภทนี้มีฤทธิ์
มากพอสมควร ร่างทรงไม่สามารถปราบได้ นอกจากร่างทรงที่มี “ บารมี” สูงเท่านั้น (แต่หาได้ยากมาก)

๕. วิญญาณประเภทเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือปู่ทั้งหลายนั้น ถ้ามิใช่ “ พ่อปู่ใหญ่” หรือ

“ พระฤษี ๑๐๘ องค์” ถือว่าเป็น “ สัมภเวสี” วิญญาณ ประเภทนี้เป็นวิญญาณที่มาสร้างบุญช่วยเหลือมนุษย์ มีดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่สังขารที่สิงอยู่ ผู้ที่ไปหาคนทรงปร

ะเภทนี้ต้องใช้สติปัญญา จริงหรือไม่จริง ควรสังเกตดูจากผลงานที่ท่านได้รับจากการทำพิธีของเจ้าทรงเหล่านี้ซึ่งบาง ท่านกว่าจะรู้ตัวก็หมดเงินทองไปหลายพันหลาย หมื่นบาทแล้ว “ เพราะฉะนั้นกรุณา ดู ฟัง ใช้สติปัญญาคิด ไตร่ตรองดูเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ ก็ยังไม่สายเกินไป”


ไม่มีความคิดเห็น: