วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

พิธีครอบมงกุฎพระเจ้า



พิธีครอบมงกุฎพระเจ้าพระอาจารย์ วัชระ เอกวัณโณ ศิษย์เอกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร สาวน้ำตาเทียนสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าเคราะห์กรรม ล้างอาถรรพณ์ถ้าเอ่ยชื่อ "วัดถ้ำแฝด" ตั้งอยู่ที่ ต.เขาน้อย อ. ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ใครๆ ก็รู้จัก เป็นวัดที่เรียกได้ว่าเป็น เจ้าตำแหน่งแห่งเหล็กไหล ที่มีผู้คนหลั่งไหลไปมากมายในแต่ละวัน อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมตังพุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ นี่คือสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่มีชื่อว่า "มงกุฏพระเจ้า" และเป็นพระคาถาที่เกี่ยวพันธ์กับวัดถ้ำแฝดมาช้านาน บ้างก็ว่ามงกุฏพระเจ้าก็สุดแต่จะเรียกกันไป แต่บรมครูอาจารย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซาบซึ้งแก่ใจกันดีว่า เป็นคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารอัศจรรย์เป็นพระคาถาครอบจักรวาลสารพัดนึกทีเดียว วัดถ้ำแฝด เดิมมีเจ้าอาวาสชื่อ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมฺภีโร" ท่านเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม ท่านเป็นพระธุดงค์ เคยอยู่ป่าอยู่เขาบำเพ็ญจิตบำเพ็ญสมาธิ อยู่กับความสงบวิเวกท่านจึงรักที่จะพำนักอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตในป่าดงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบสิ่งเร้นลับได้พบยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมมากมายและหลวงพ่อได้มีโอกาสศึกษาวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ หนึ่งในสุดยอดวิชาที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้ทุ่มเทศึกษาจนรู้จริงและทำได้นั่นเป็นวิชาที่หลวงพ่อร่ำเรียนมาเพื่อช่วยหมู่มนุษย์ให้อยู่เย็นเป็นสุขนั่นคือ วิชาสาวน้ำตาเทียน วิชา "สาวน้ำตาเทียน" เป็นวิชาที่ต้องใช้อำนาจคาถาอาคมอำนาจจิตที่แน่วแน่ด้วยสมาธิ เพ่งจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเรียกว่า "เอกัคคตาจิต" ด้วยอำนาจแห่งอาคมขลังและอานุภาพดวงจิตที่เพ่งสู่ดวงเทียนที่กำลังลุกติดเป็นไฟหยาดหยดน้ำตาเทียนลงสู่บาตรน้ำมนต์ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า แล้วท่านเคยสังเกตไหมว่าตามปกติแล้วน้ำตาเทียนที่หยุดลงไปในน้ำแล้วมันจะแข็งและจับกลุ่มกันเป็นหย่อมๆ หยดๆ หรือเป็นเกล็ดทันที ที่หลวงพ่อสาวขึ้นมาจะยืดยาว ยิ่งดึงสาวขึ้นมายิ่งยาวเป็นการเสริมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง แต่ น้ำตาเทียนที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ค้มฺภีโร เพ่งด้วยอานุภาพจิต ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์พอหยดลงไปโดนน้ำมนต์ในบาตรแทนที่จะจับตัวแข็งเป็นเกล็ดกลับอ่อนนุ่มเป็นเนื้อเหลว และหลวงพ่อท่านก็หยิบสาวขึ้นมาเป็นมงคลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และที่อัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เมื่อนำยอดวิชาส่วนน้ำตาเทียนมาเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี และแก้อาถรรพณ์ให้แก่ญาติโยมและสาธุชนที่ศรัทธาทั่วไป คือการสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสายขึ้นมาวนรอบศีรษะของผู้เข้ารับการสะเดาะเคราะห์เสริมบารมี คนที่ดวงดีไม่มีเคราะห์ชะตาไม่ขาดไม่หักเห น้ำตาเทียนส่วนใครชะตาขาดหรือมีเคราะห์และชีวิตที่หักเหด้วยฤทธิ์อาถรรพณ์ ต่างๆ มาครอบงำอย่างใดอย่างหนึ่งน้ำตาเทียนที่ท่านค่อยๆ สาวขึ้นมาจากบาตรน้ำมนต์จะขาดทันที และไม่ยาวอีกด้วย นั่นแสดงถึงเจ้าของดวงชะตานั้น ดวงไม่ดีมีเคราะห์ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา แก้อาถรรพณ์ ให้มีดวงชะตาเข้มแข็งหมดเคราะห์พ้นจากสิ่งเร้นลับ ครอบงำต่างๆ ด้วยอำนาจจิตด้วยอานุภาพอาคมมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ นี่คือที่มาสุดยอดของวิชาสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์ขึ้นมาวนรอบลงบนศีรษะนั้นเรียกว่าวิชา "ครอบมงกุฏพระเจ้า" อันเป็นสุดยอดวิชาอาคมสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่ได้กล่าวมาแต่ข้างต้น มีคนจำนวนมากที่ได้รับความเมตตาจากวิชาครอบมงกุฏเจ้าสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงเสริมบารมีจนถึงต่อดวงชะตาอายุที่ขาดด้วยแรงฤทธิ์อาถรรพณ์ของหลวงพ่อสัมฤทธิ์สงเคราะห์แก้ไขให้ จนหมดเคราะห์ หมดทุกข์มีชีวิตที่ดียืนยาว พระอาจารย์วัชระ เอกวณฺโณ เป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาสาวน้ำตาเทียน ครอบมงกุฏพระเจ้าจากหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมฺภีโร ทุกอย่างจนหมดสิ้น จากปากต่อปาก ความสงบแน่นิ่งเยือกเย็น สายตาทอดต่ำตลอดเวลามีบุคลิกลักษณะที่มั่นคงในวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมา พระอาจารย์วัชระ เอกวณฺโณ เป็นที่ประทับใจทุกๆ ท่าน ทุกอิริยาบถอันนุ่มนวล ปราศจากการเสแสร้ง ขณะทำพิธีสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์เสริมดวงบารมีให้ผู้มีเคราะห์กรรมที่มาเข้าทำพิธีจำนวนมากคนแล้วคนเล่าท่านมีเมตตาช่วยเหลือไม่มีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ท่านสมแล้วกับศิษย์เอกของยอดพระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับสาวน้ำตาเทียนและเจ้าตำรับเหล็กไหลตาแรด อันเลื่องลือมีเมตตามีความเย็นที่สัมผัสได้ มีอานุภาพจิตเป็นหนึ่งอันแน่วแน่มั่นคงมั่นใจมีวิชาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากบูรพาจารย์อันเก่งกล้า พระอาจารย์วัชระได้รับการแต่งตั้งจากทางการคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำแฝด สืบแทนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่ได้ถึงแก่มรณะลง ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านอาจารย์วัชระได้ขจรขจายเลื่องลือ ด้วยวิชาสาวน้ำตาเทียนที่ท่านได้ช่วย ผู้คนมานับไม่ถ้วน ค่าสะเดาะเคราะห์เพียงน้อยนิด ด้วยจำนวนเหรียญเท่าอายุ กับเสริมดวงขึ้นไปอีก 9 บาท เป็นการหนุนดวงชะตาบารมีให้สูงขึ้น ก้าวหน้าอีกต่อไปอันจะเรียกว่าเป็นการบูชาครูก็ว่าได้นั่นคือ การทำบุญสะเดาะเคราะห์ล้างอาถรรพณ์นั่นเอง วัดถ้ำแฝด ยังคงเป็นที่พึ่งทางกาย ทางใจแก่สาธุชนทั้งหลายไม่ว่าจะยากมีดีจนไม่จำกัดไม่ปิดกั้น พร้อมที่จะปัดเป่าเคราะห์กรรมให้ทุกท่านมีชีวิตมีดวงชะตาที่สว่างไสวไม่ให้มืดมน ณ ท้ายนี้จึงกล่าวได้ว่า พระอาจารย์วัชระ เอกวัณฺโณ ท่านเป็นที่พึ่งในการปัดเป่าอาถรรพณ์สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี ให้มีสุข ความร่มเย็นได้อย่างแน่นอนหรือจริงเท็จอย่างไรให้ท่านลองไปพิสูจ น์ดูที่มาจากเวป http://www.watthamfad.com/Index_TH.htm ลองเข้าไปอ่านได้ครับ








พิธีการไหว้ครูแบบแพทย์แผนไทย

พิธีการไหว้ครูและการเตรียมเครื่องไหว้ครู
แนวคิด การกำหนดขั้นตอนพิธีไหว้ครูจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ความหมายของพิธีกรรม และมุ่งมั่นที่จะร่วมคิดร่วมทำ ไปสู่เป้าหมายที่กำหนด เป็นการระลึกถึงบรมครูในการเรียนการสอนของหลักสูตร เป็นการค้นคว้าหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด เพื่อไปสู่เป้าหมาย การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในรูปแผนงาน โครงการและกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนหลายขั้นตอน เช่น พิธีไหว้ครู การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และขั้นตอนในการไหว้ครู เป็นต้นจุดประสงค์นำทาง เมื่อศึกษาตอนที่ 3 แล้วผู้เรียนสามารถ 1. อธิบายขั้นตอนพิธีการไหว้ครูแบบแพทย์แผนไทยได้ 2. อธิบายขั้นตอนการเตรียมเครื่องไหว้ครูแบบแพทย์ไทยได้ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 พิธีการไหว้ครูแบบแพทย์แผนไทยได้ เรื่องที่ 2 ขั้นตอนเตรียมเครื่องไหว้ครูแบบแพทย์แผนไทยได้


เรื่องที่ 1 พิธีการไหว้ครูแบบแพทย์แผนไทย

เนื้อหาวิชา พิธีไหว้ครูปฏิบัติดังนี้ หลังจากเตรียมเครื่องไหว้ครูในพิธีการไหว้ครูครบทุกอย่างแล้ว ให้นำเครื่องไหว้ครู ใส่ลงในเชี่ยนหมากหรือพานไหว้ครุแล้วให้คนป่วยยื่นให้กับมือหมอ หมอก็จะทำพิธีเสกคาถา เป็นอันเสร็จพิธีไหว้ครูการไหว้ครูแพทย์แผนไทย การบูชาพระบรมครูแบะการไหว้ครู เป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งของไทยมาแต่โบราณ ไม่ว่าการกระทำใดๆ ซึ่งต้องการอาศัยการเรียนรู้ จากครู ผู้ที่ได้รับความรู้จะต้องทำการบูชาครู เป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงการเคารพและระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์และเป็นโอกาสที่ลูกศิษย์ และอาจารย์จะได้พบปะกันได้ถามทุกข์สุขความเป็นอยู่ของกันและกัน หากลูกศิษย์มีปัญหาจากการปฏิบัติงานก็มีโอกาสได้ซักถามอาจารย์หรือผู้ใดมีความรู้ใหม่ๆ ก็นำมาแลกเปลี่ยนกัน นอกจากนี้ยังทำให้ลูกศิษย์ได้มารวมกลุ่มกัน มีการแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างศิษย์รุ่นเดียวกันและรุ่นอื่นๆ ในวงการแพทย์แผนไทยนิยมทำพิธีการบูชาบรมครูชีวกโกมารภัจน์ และพิธีการไหว้ครูในระหว่างเดือน 6 – 9 เพราะเป็นฤดูที่จะทำกิจการงานต่างๆ ให้ก้าวหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
นอกจากพระบรมครูชีวกโกมารภัจน์แล้ว ยังมีพระบรมครูของแพทย์แผนโบราณดั้งเดิม คือ พระฤาษี ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบคุณค่ายา สมุนไพร ต่างๆ ได้แก่
1. พระฤาษีอมรประสิทธิ์ 2. พระฤาษีนารถ 3. พระฤาษี 4. พระฤาษีตาไฟ 5. พระฤาษีตาวัว 6. พระฤาษีกัศยป 7. พระฤาษีสังขา 8. พระฤาษีกไลยโกศ

(จากสาราณุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง เล่มที่ 15 หม่อม – โอกปิ๊บ : การเล่น จัดพิมม์เนื่องในพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนม พรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542)



เรื่องที่ 2 การเตรียมเครื่องไหว้ครูแพทย์แผนไทย

เนื้อหา การเตรียมเครื่องไหว้ครูแบบแพทย์แผนไทย 1. เหล้าขาว 2. น้ำมันมะพร้าว 3. ผ้าขาว 4. ด้ายดิบ 5. ข้าวสาร 6. หมาก , พลู 9 คำ 7. ดอกไม้คละสี 9 ดอก 8. เงินค่าไหว้ครู 12 บาท (หรือมากกว่าแต่ลงท้ายด้วย 12) 9. เชี่ยนหมาก หรือพาน 10. เทียนไข 11. มีดหมอหมาก การนำหมากมาใช้ในการกินหมากนั้น อาจใช้หมากได้ทั้งหมากดิบสดหรือตากแห้งแล้ว ซึ่งหมากตากแห้งนั้นจะนำเอาหมากมาผ่าเป็นชิ้น แล้วใช้เชือกร้อยเป็นแถวยาวประมาณ 1 ศอก ตากแห้งแล้วมัดรวมไว้กินนาน ๆ เรียกกันว่า หมากไหม หรือ หมากเสียบ ถ้านำหมากไหมจำนวน10 สาย มัดรวมกันเป็นพวก จะเรียกว่า หมากหัวหรือหมากพันและหมากหัว 10 พวง รวมเรียกกันว่า หมากหมื่นหรือหมากลุน ในการกินหมาก บางท่านจะทำหมากพร้อมใบพลูใส่ปูน และเครื่องต่างๆ ไว้เป็นคำๆ เรียกว่า หมากสุบ หมากสุบพลูแหล้ม หรือหมากจีบพลูแหลม สำหรับคนแก่ที่ไม่สามารถเคี้ยวหมากหยาบๆ ได้ จะนำหมากให้แหลกก่อน
สรรพคุณของหมาก กล่าวกันว่า มีสรรพคุณฆ่าพยาธิ ขับปัสสาวะ ขับลม แก้บิดท้องร่วง แก้แผลเน่าเปื่อย เจริญอาหาร แก้ไอ เป็นต้น ใน ตำราสมุนไพรล้านนาก็มีการใช้หมากในตำรับยาหลายขนาน เช่น ยากมุตขึด (ยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะ) ยามะเร็งครุท้องเป็นก้อน (ยารักษา โรคลม คล้ายมีลมดันเป็นก้อนในท้อง) ยาปิ (ยารักษาอาการเป็นลมหน้ามืด) หมากถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประกอบพิธีหลายอย่าง เช่น ในการจัด “ขันตั้ง” หรือขันครู แต่งตาให้พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีหรือให้แก่ อาจารย์วัด มัคนายก ที่เป็นผู้ประกอบพิธีต่างๆ “ขันตั้ง” นั้นประกอบด้วย เครื่องประกอบหลายอย่างมีหมากรวมอยู่ด้วย คือ “หมากพันสาม” ที่คู่ กับ “เบี้ยพันสาม” ความยาวประมาณ“คีบเต็ก” คือความยาวเต็มเหยียดของคืบ ซึ่งพบว่าร้อยหมากไว้สิบสามชิ้นและเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“หมาก ไหมร้อย” หมากจำนวนหนึ่ง “หัว” หรือ”พุก” คือ หมากจำนวน 100 เรียกว่า “หมากพันสาม” หมากเป็นสมุนไพรรักษาโรค คนสมัยก่อนเชื่อกันว่า หมากการเคี้ยวหมากทำให้ฟันแข็งแรงทนทานปัจจุบันก็ยังพอจะสังเกตเห็นผู้เฒ่าผู้ แก่อายุ 70-80 ปีที่เป็นคนเคี้ยวหมากมาก่อน ฟันของท่านเหล่านั้นส่วนใหญ่ยังมีอยู่เต็มปาก และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฟัน ซึ่งก็จะมีการทำความ สะอาดฟันวันละหลายครั้ง ขณะที่หมากยังอยู่ในปากเขาจะเอาเปลือกหมากแห้งขัดฟันด้านหน้าให้สะอาดและเป็นเงางาม หมากยังใช้เป็นยาแก้ไอ และระคายคอได้ด้วย เมื่อเกิดอาการไอ เจ็บคอ หรือคันคอ เนื่องจากหวัด ไม่ว่าเกิดขึ้นกับเด็กหรือผู้ใหญ่ คนในสมัยโบราณจะอม “ตับหมาก” อาการไอก็จะทุเลาลง (คงเพราะความฝาด) และในส่วนของผดผื่นคันนั้นก็อาจจะใช้หมากรักษาโรคผดผื่นคันได้ ที่ผู้เรียนเคยเห็นมากับตาคือเมื่อ ประมาณ พ.ศ. 2524 นั้นมี “ผ้าขาว” (ชีปะขาว) จากจังหวัดลำพูน เดินสัญจรไปพักตากวัด รับรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นต้น โดยใช้ไม้เท้าของครูบาศรีวิชัย เคาะไปตามบริเวณที่ปวด มีคนเป็นโรคผื่นคันดังกล่าวมาก่อน แต่เพื่อรักษาความเป็นอาจารย์ ไว้ จึงแก้ปัญหาด้วยการคายชานหมากออกให้คนผู้นั้นนำไปทาบริเวณที่คัน คงเป็นเพราะความฝาดของหมาก ยาฉุน ปูน ใบพลู และเปลือกก่อ ประมาณ 3 วัน อาการคันของคนนั้นก็ทุเลาเบาบาง และหายไปในที่สุด “ขี้หมาก” (ชานหมาก) ของผ้าขาวก็กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีการให้บูชา ถึงคำละ 5 บาท

ฤาษีตาวัว

ประวัติปู่ฤาษีหน้าวัวหรือตาวัว เดิมที่เป็นพระสงฆ์ตาบอดอยู่เมือศรีเทพ (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดลพบุรี) แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุท่านพยายามหาตำราสูตรต่างๆมาและตำราที่สร้างสรรค์ขึ้นเองเพื่อต้องการสิ่งที่วิเศษ จนท่านสามารถสร้างปรอทขึ้นมาท่านดีใจมาก จนทำปรอทตกลงที่ถ่ายมูลท่านหายังไงก็หาไม่เจอให้ลูกศิษย์หาก็กลัวมันรู้ จึงปิดปากเงียบจนลูกศิษย์คนหนึ่งไปพบแสงสีเขียวประหลาดเข้า จึงวิ่งแจ้นไปบอกหลวงตาท่านดีใจมากจึงรีบไป บอกให้ลูกศิษย์หยิบขึ้นมาเลอะช่างมันเดี้ยวล้างได้ และก็เก็บใส่โถน้ำผึ้งของวิเศษต่อท่านท่านก็ขุ่นคิดว่า เออ เราก็มีของวิเศษอยู่แล้วทำไม ไม่รักษาโรคตาบอดซะเลยละ ท่านจึงใช้ให้ลูกศิษย์คนเดิมไปหาลูกตามาเจ้าลูกศิษย์หาเท่าไรก็หามไม่เจอ จนไปเจอลูกตาวัวเข้าจึงควักออกมาให้หลวงตา พอท่านใช้อำนาจปรอทวิเศษของท่านเกิดอภินิหาร ตาของท่านที่บอดกลับมองเห็นอีกครั้ง ท่านดีใจมากแต่ซักพักท่านก็ต้องตกใจ เมื่อมองหน้าที่กระจกใบหน้าจากคนก็กลายเป็นหน้าวัว ฝ่ายต้องขอโทษท่านอย่างมาก แต่หลวงตาก็ให้อภัยและก็คิดว่า เฮอ ต้องเพศลาจากการเป็นสงฆ์แล้วสิเรา เพราะกฏห้ามสัตว์เดียรฉานบวชเป็นพระ ท่านจึกสึกจากการเป็นพระมาบวชฤาษีแทน จึงมีชื่อว่า พระฤาษีตาวัวหรือหน้าวัว เข้าป่าสร้างอาศรม บำเพ็ญตบะ และคิดค้นสร้างสรรค์และแสวงตำราเล่นแร่แปรธาตุใหม่ๆ จนพบกลุ่ม 10 ฤาษี โดยมี ฤาษีพิลาไลย ฤาษีตาไฟ เป็นใหญ่ จึงของอาศัยอยู่ด้วยๆจาก10เป็น11ด้วยท่านเคยเป็นพระจึงมีตบะ เหนือฤาษีองค์อื่น และมีความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุทั้งเชิงตำราเชิงคิดสร้างสรรค์เอง ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นหมอหรือนักเคมี จะบูชาพระฤาษีตาวัวหรือหน้าวัวกันไม่น้อย ท่านจัดว่าเป็นฤาษีของไทยทีมีชื่อเสียงมากที่สุดในสยาม

พระฤาษีหน้าเนื้อ(ฤาษีกไลโกฏิ)

พระฤาษีหน้าเนื้อ มีชื่อว่า "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ อีกพระนามหนึ่งคือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" อยู่ในเชื้อสายของตระกูลฤาษี พระฤาษีหน้าเนื้อเป็นบุตรของพระฤาษีพิภาณฑกมุนี และเป็นหลานของ พระฤาษีกาศยปมุนี (ซึ่งพระฤาษีกาศยปมุนี นี้ เป็นฤาษีที่มีอิทธิทธิ์และบารมีสูง สามารถสร้างอภินิหารต่างๆ ได้ เมื่อท่านต้องการจะทำสิ่งใดจะต้องได้สมกับความต้องการและสำเร็จทุกครั้ง เป็นหนึ่งในฤาษีที่ทำพิธีอัศวเมธ)เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพระฤาษีหน้าเนื้อนี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลฤาษีโดยแท้ตั้งแต่แรกพระฤาษีหน้าเนื้อกำเนิดและเจริญเติบโตในป่า ไม่เคยพบหน้าเทวดา หรือมนุษย์มาก่อน ตั้งใจบำเพ็ญตบะ เข้าฌาณ เพื่อเสริมสร้าบารมี และด้วยอิทธิฤทธิ์และบารมีของท่าน จึงทำให้แคว้นองคราษฎร์ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับป่าที่พระฤาษีฯ บำเพ็ญพรตอยู่เกิดวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล จึงเกิดความแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่ว --- ท้าวโลมบาทผู้ครองนครองคราษฎร์ ให้โหรหลวงทำนาย แล้วจึงเสด็จออกไปยังป่า สถานที่อาศัยของพระฤาษี สั่งให้ทหารจัดตั้งพลับพลาสวยงาน ในพลับพลานั้นให้เป็นที่สถิตของนางศานตา หรือนางอรุณวดี ซึ่งเป็นพระราชธิดาที่เป็นที่โปรดปรานของท้าวโลมบาท แล้วท้าวโลมบาทได้ให้พวกนางโลม ไปหลอกล่อ พระฤาษีฯออกมายังพลับพลาของนางศานตา และด้วยความเคารพในพระฤาษี ท้าวโลมบาท ได้ยกพระราชธิดาให้ตามพระประสงค์ของพระฤาษีฯท้าวโลมบาท ได้อัญเชิญพระฤาษีให้สู่ราชฐาน แล้ว ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็กลับอุดมสมบูรณ์เกี่ยวกับคัมภีร์ของไทย มักเรียก "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือฤาษีหน้าเนื้อ ว่าเป็น พระฤาษีกะลัยโกฏิซึ่งตำนานโบราณ กว่า 2,000 ปี ในระยะต้นของพระพุทธศาสนา ได้ระบุไว้ในหลายคำภีร์ ว่า "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" เป็นองค์เดียวกันกับที่เป็นพระสวามีของนางศานตา ซึ่ง พระสวามีของนางศานตา ก็คือ พระฤาษีหน้าเนื้อนี่เอง ( ว. จีนประดิษฐ์ ผู้รวบรมข้อมูล)
ต่อครับ
เรื่องมีอยู่ว่า คราวหนึ่ง พระสนัตกุมารพรมบุตร ได้กล่าวกับท้าวทศรถ ผู้ครองนครกรุงศรีอโยธยา ว่า ถ้าเมื่อใดต้องการจะทำพิธิ อัศวเมธ เพื่อบนบานในการขอลูก จะต้องอัญเชิญ พระฤาษีฤษยะสฤงค์ให้ไปช่วยในการทำพิธีด้วย พิธีนั้นจึงจะสำเร็จสมความปราถนาดังนั้นท้าวทศรถ จึงเสด็จไปอัญเชิญพระฤาษีฤษยะสฤงค์ (ฤาษีหน้าเนื้อ) และนางศานตา สู่กรุงศรีอโยธาแล้วท้าวทศรถก็กระทำพิธีอัศวเมธได้สำเร็จ และพระโอรสที่เกิดมาก็คือ พระราม , พระลักษณ์ , พระพรต และพระศัตรุฆน์ (หรือสัตรุด)
ต่อครับ แถมให้พระฤาษีหน้ากวาง หรือพระฤาษีหน้ากวางทอง = (พระฤาษีปะตาภา) = (พระฤาษีปิตน)ตำรา เล่าว่า พระฤาษีหน้ากวางนั้น เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบาน กับ พระฤาษีหน้าเสือ เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้บำเพ็ญตนเป็นฤาษี และได้อาศัยอยู่ในสำนักอาจารเดียวกัน คือ พระฤาษีสิษฐ์ (พระฤาษีองค์นี้เป็นทศฤาษี หรือสัปตฤาษี ในคำภีร์ภารตะ ) และเมื่อทั้งสองมีตบะเพิ่มมากขึ้น จึงพากันแยกย้ายกันออกจากสำนัก และพากันเดินทางไปหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ ซึงเป็นบริเวณป่าใกล้กับเขาไกลาศ แล้วจึงแยกย้ายกันหามุมสงบ แล้วจัดตั้งอาศรมขึ้นพอเหมาะกับการที่จะมุ่งสู่ธรรม พระฤาษีหน้าเสือ (........) อยู่ทางทิศใต้ พระฤาษีปะตาภา อยู่ทางด้านทิศเหนือ ทั้งสองมุ่งบำเพ็ญตบะอย่างเต็มที่ จนมีตบะและบารมีเข้มแข็ง จนสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้อยู่มาวันหนึ่ง พระฤาษีหน้าเสือ เกิดคิดถึงเพื่อนจึงเดินทางไปหาที่อาศรม และอีกใจ ก็มีจิตที่จะลองวิชาด้วยว่าใครจะเก่งกว่ากัน เมื่อพบปะกันก็คุยกันอย่างสนิท สุดท้ายแล้วก็วกมาในทางโอ้อวดวิชากัน จนในที่สุดตกลงกันว่า จะนำวิชามาอวดกันพระฤาษีปะตาภา (พระฤาษีหน้ากวาง) ตักน้ำใส่ขันแล้วบริกรรมคาถา แล้วฝากขันไว้กับเพื่อน เพื่อที่จะใช้น้ำมนต์นี้แก้วิชาตอนเสร็จพิธีแล้ว ทางด้านฤาษีหน้าเสือ ก็ทำเช่นเดียวกันแล้วพระฤาษีปะตาภา ก็แปลงกายด้วยอำนาจมนต์ จนท่อนศรีษะเป็นกวางทอง จนพระฤาษีหน้าเสือถึงกับเอ่ยปากชื่นชมด้วยความจริงใจ แล้วตนเองก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ จนท่อนศรีษะกลายเป็นเสือโคร่ง เหลืองอร่าม เพื่อนก็ชื่นชมในบารมีอย่างจริงใจเช่นเดียวกัน****และแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันเก็เกิดขึ้น เหตุว่ามีพระฤาษีอีกตนหนึ่ง ชื่อว่า พระฤษี....... แอบดู และพอใจในการแสดงอิทธิฤทธิ์ ของทั้งสอง จึงเข้ามาชวนสนทนา และด้วยความที่เห็นเป็นของแปลกที่มีฤาษี หน้าเป็นกวางและเป็นเสือ จึงอยากให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป จึงชวนสนทนาอย่างเพลิดเพลิน จนพระฤาษีทั้งสอง ลืมที่จะกลับร่าง พระฤาษี........ จึงฉวยโอกาสสาดน้ำมนต์ทั้งสองขันทิ้ง สร้างความตกตะลึง ให้แก่เพื่อนฤาษีทั้งสอง เป็นอย่างมาก พระฤาษีทั้งสองหมดโอกาสที่จะคืนร่างเป็นอย่างเดิมได้ จึงบันดาลโทสะ จนยากจะห้ามได้ ทั้งสองจึงร่วมมือกันสาปพระฤาษ์ตนนั้น ใก้กลายเป็นฤาษีลิงในทันใด ******
--กล่าวถึง พระฤาษีประไลยโกฐ ซึ่งว่ากันว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีอิสีสิงค์ (เป็นพระฤาษีชั้นเทพบุตรทั้งคู่) นั้น จากการรวบรวมตำนานฤาษี ของ อาจารย์ ว. จีนประดิษฐ์ จากตำนานโบราณแท้ที่จริงแล้ว พระฤาษีหน้าเนื้อ นั้นในหลายตำรา "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" เป็นองค์เดียวกันกับที่เป็นพระสวามีของนางศานตา ซึ่ง พระสวามีของนางศานตา หรือนางอรุณวดี ซึ่งว่ากันว่า จะกระทำการสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ หรือให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ควรอัญเชิญฤาษีหน้าเนื้อนี้ด้วยว่าเรื่อง พระฤาษีประไลยโกฐตำนานเล่าว่า ท่านได้บำเพ็ญตบะสร้างบารมี อยู่ในป่าเพื่อหวังความสำเร็จแล้วจะได้บังเกิดในสวรรค์ ตั้งใจบำเพ็ญพรตเพื่อนิพพานด้วยความมุ่งมั่นแต่อย่างเดียว และในระหว่างนั้นเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน และวังวลในเรื่องอาหารการกิน ต้องดินรนแสวงหาสิ่งของมาประทังชีวิต แต่พระฤาษีประไลยโกฐถึงแม้จะหว่งใยก็ไม่สามารถหาทางออกให้ประชาชนในขณะนั้นได้จึงได้แต่บำเพ็ญพรตต่อไป จน ........กระทั่งเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร ด้วยบุญญาธิการ และบารมีการบำเพ็ญของท่าน จึงเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ พายุใหญ่พัดกระหน่ำรุนแรง ต้นไม้โค่นระเนระนาด พอฝนซา.............เกิดน้ำท่วมรอบๆอาศรมท่าน... และในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุ แล้วตกบริเวณหน้าอาศรมท่าน .....อยู่ตรงนั้น...... จนเมล็ดข้าวสาลี กระเทาะเปลือก .......... ท่านเฝ้าดูอย่างปลื้มปิติ มันงอกงาม จนสุก เหลืองอร่าม ทั้งยังส่งกลิ่นหอม ท่านจึงรำพึงว่า นี่ต้น .... นี่ผลอะไร? มนุยษ์จะกินได้หรือเปล่า ?.. ฉนั้นเราจะคอยดูว่า จะมีพวกนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้าสัตว์กินได้....มนุษย์ก็ต้องกินได้....หลังจากนั้น ก็ได้มีนกกระจาบ ตัวเล็กๆ บินมา กินเมล็ดข้าวสาลี จนอิ่ม แล้วยังคาบรวงข้าวกลับไปด้วย และแล้ว อีกไม่นาน ก็ได้มีนกกระจาบฝูงใหญ่บินมากินจนอิ่มหน่ำ แล้วคาบกลับไปอีกท่านเห็นดังนี้ ก็ดีใจ คิดได้ว่าต่อไปมนุษย์จะต้องไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารการกินอีกต่อไป.....จนนกเหล่านั้นไปหมดแล้ว ท่านจึงลงจากอาศรม แล้วเก็บรวบรวมเมล็ดข้าสาลีที่เหลือ เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป เพื่อให้มากพอกับความต้องการของมนุษย์ตามตำนานของพระฤาษี ว่าไว้ว่าอย่างนี้ครับ
และยังมี--- พระฤาษีหน้ากวางอยู่อีก 1 ตน ฤาษีหน้ากวางนี้ มิใช่ ฤาษีที่บำเพ็ญตนจนเป็นฤาษี และเป็นดาบสสนี (ผู้บำเพ็ญตนเพื่อเผาผลาญกิเสส) และเป็นหญิงด้วย..... ทายสิใคร ?
พระราม ฆ่าทศกัณฐ์ตายแล้ว จึงรับนางสีดาเข้าสู่กรุง อโยธยา (เป็นเรื่องราวของตำนานเทพและฤาษีนะครับ)มิใช่วรรณกรรมพระราชนิพนธ์นางอดูลปิาจ เกิดความคับแค้นใจ เนื่องจากเป็นญาติกับทกัณฐ์ จึงแปลงกายเป็นสาวงามเข้าไปถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้ของนางสีดาเมื่อเป็นได้ตามประสงค์แล้ว นางงามจึงหาอุบายให้นางสีดาเขียนรูปทกัณฐ์ จนพระรามมาเห็นเข้าจึงโกรธ สั่งให้พระลักษณ์นำนางสีดาไป ประหาร แล้วให้ควักดวงใจเอากลับมาให้ดู พระลักษณ์ลงมือฟันด้วยพระขรรค์ ก็บังเกิดเป็นดอกไม้ทิพย์คล้องคอนางสีดา พระลักษณ์จึงปล่อยตัวนางสีดาไป แล้วพระอินทร์ได้เนรมิตเนื้อทรายที่นอนตายให้พระลักษณ์ควักเอาดวงใจไปพระอินทร์แปลงเป็นมหิงสา ให้นางสีดาทรงขี่ไยังอาศรมของ พระฤาษีวัชมฤค = (พระฤาษีหน้าวัว) = พระฤาษี.........เมื่อพระฤาษีวัชมฤค ทราบเรื่องจึงให้นางสีดา ถือเพศเป็นดาบสสินี แล้วกำบังกายให้เป็นพระฤาษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย
พระฤาษีวัชมฤค = (พระฤาษีหน้าวัว)ได้บำเพ็ญเพียร เป็นฤาษีชั้นเทพ และมีอีกพระนาม ว่า พระฤาษีวาลมีกิ และพระฤาษีวาลมีกิ นี่ก็มีความเกี่ยวพันกับพระฤาษีนารอท (พระนารทฤาษี) ต่อจากที่ช่วยนางสีดาเลยล่ะกัน เพราะมีการกำเนิดโอรสของนางสีดา กับพระราม เมื่อกำบังกายให้นางสีดาแล้ว ไม่นาน นางสีดาก็ได้คลอดโอรส ออกมา 1 คน และให้ชื่อว่า พระกุศ นางฝากให้พระฤาษีเลี้ยงไว้ แล้วนางก็ปลีกกายไปบำเพ็ญตบะ อยู่มาวันหนึ่งนางจะไปอาบน้ำ ได้พบกับแม่ลิงที่มีลูกอ่อนอุ้มลูกให้เกาะกระโดดไปตามต้นไม้ นางเป็นห่วงกลัวลูกลิงจะตก จึงกล่าวกับลิงว่าระวังลูกตก นางลิงก็ว่า ลูกที่อยู่ใกล้แม่ ถึงจะเกิดอะไรก็ยังมีทางช่วยเหลือได้ทัน ไม่เหมือนนางที่ฝากลูกไว้กับพระฤาษีที่เอาแต่หลับตา บำเพ็ญตบะ สัตว์ร้ายจะมาคาบไปเป็นอาหารเมื่อไหร่ก็ไม่มีทางรู้ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางเลยเป็นห่วงลูก จึงไปที่อาศรมพระฤาษีฯ อุ้มลูกของนางออกมาอาบน้ำด้วยครั้นเมื่อพระฤาษีฯได้ออกจากฌาณ ลืมตาขึ้นมาไม่พบพระกุศ จึงเที่ยวตามหาจนทั่วบริเวณอาศรมก็ไม่พบ ท่านเกิดวิตกมาก คิดว่าสัตว์ร้ายคงมาคาบเอาพระกุมารไปกินเป็นแน่แท้ ก็คิดกลัวว่า นางสีดาจะมาตำหนิตัวเองว่าทำลูกนางหาย จึงไม่รอช้า รีบจัดตั้งเครื่องพิธีจะทำการชุบกุมารขึ้นมาแทนพระกุศ โดยการวาดรูปกุมารให้เหมือนและจะได้ทำการชุบด้วยพระคาถาต่อไปแต่ยังไม่ทันที่พระฤาษีจะได้ทำการชุบฯ นางสีดาก็อุ้มพระกุศมาบนอาศรม พระฤาษีดีใจด้วยรู้ว่าพระกุศมิได้หายไปไหนจึงกำลังจะลบรูปวาด นางสีดาเห็นว่ารูปที่พระฤาษีวาดนั้นน่ารักดีจึงขอให้พระฤาษีทำการชุบชีวิตมา เพื่อเป็นเพื่อนกับพระกุศ และให้ชื่อว่า ลบ หรือพระลพ
เมื่อประมาณต้นพุทธกาล พระฤาษีวาลมีกิ ได้อาราธนา พระนารทมหาฤาษี ผู้มีปฏิภาณและความจำเป็นเลิศ ให้มาแสดงธรรม แล้วให้พระนารทมหาฤาษีทรงเล่า เรื่องรามายณะให้ฟัง พระมหาฤาษีก็มิได้ขัดข้อง ทรงเล่าความตามหัวข้อของเรื่องราว ราวกับพงศาวดารให้ฟังอยู่เป็นเวลานาน จนจบเรื่องราวที่ได้มีมาแต่หนหลังตามที่ท่านได้ตั้งใจไว้ จบลงแล้วได้ประสิทธิ์ประสาทพรให้กับพระฤาษีวาลมีกิจนเป็นที่เรียบร้อย พระนารทมหาฤาษีก็จำเป็นต้องเสด็จขึ้นสวรรค์ บำเพ็ญตบะสร้างสมบารมีต่อไป ด้วยการเป็นพระฤาษีพรหมนารท เสวยทิพย์อยู่ในวิมานและปราสาททิพย์ชั้นพรหมโลกพระฤาษีวาลมีกิ มีความจำเป็นที่จะต้องรจนา (แต่ง) เรื่องรามายณะ ขึ้นมาเป็นวรรณกรรม ให้เป็นคัมภีร์ มีหลักฐานข้อมูลอยู่จนทุกวันนี้การรจนาเรื่องรามายณะนั้น พระฤาษีวาลมีกิ ได้คิดค้นคำเพื่อให้เป็นที่จดจำและเพลิดเพลินในการได้สดับ เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งหลังจากที่ พระฤาษีวาลมีกิ ได้ออกจากตบะฌาณแล้ว ออก จากอาศรมไปยังฝั่งน้ำตมสาเพื่อจะชำระร่างกายให้สะอาด และในขณะที่กำลังทอดอารมณ์ชมทิวทัศน์อยู่นั้น ก็ได้พบกับนางนกกระเรียนซึ่งตัวผู้ได้จบชีวิตลงด้วยฝีมือพราน กำลังเสียใจเป็นอย่างมาก ยืนคร่ำครวญร่ำรำพันถึงผัวรักที่ได้ตายไปต่อหน้า ต่อตา ด้วยความรักผัวจึงครวญครางออกมาเป็นสำเนียงโหยหวน ให้พระฤาษีวาลมีกิ ได้ยิน เมื่อพระฤาษีได้ฟังจึงแสดงความสงสารออกมาเป็น ฉันท์โฉลกดังนั้นแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ ว่าอันบทกลอนทั้งหมดที่ได้เอ่ยออกมานั้น ตรงกับคำฉันท์ และเป็นกลอนคำฉันท์ที่แปลกใหม่จากฉันท์อื่นๆ ซึ่งจะเก็บเอาไว้ขับร้อง คงเป็นประโยชน์อย่างมาก (โศลก) แปลว่า โศกพระฤาษีวาลมีกิ พรรณนาฉันท์โศลกนี้อยู่เรื่อย เห็นว่าเพราะดี และบางทีก็พรรณนา ให้พระฤาษีภรัทวาช ผู้เป็นศิษย์ฟัง ก็เห็นชอบว่าควรเก็บรักษาฉันท์โศลกนี้ไว้พระฤาษีวาลมีกิ กลับมาถึงอาศรม ก็มีพระพรหมฤาษี ผู้เป็นปรพราหมณ์ และเป็นอาทิกระวี คือองค์พระพรหม ผู้เป็นกวีเอกทั้งสามโลก ทั้งมีปัญญา ความจำ ความสามรถอย่างเฉียบขาด และยอดเยี่ยมไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ได้เสด็จลงมาด้วยความเมตตาพระฤาษีวาลมีกิ ทรงอบรมสั่งสอนพระฤาษีวาลมีกิ มากมาย แล้วจึงสั่งให้ พระฤาษีฯ รจนา เรื่องรามายณะ ขึ้นโดยอนุญาต ให้คำฉันท์ที่เคยรำพึงรำพันขึ้นมานั้นและแล้วพระฤาษีวาลมีกิ ก็สำรวมกิริยาต่อหน้าท่านปรพราหมณ์ นั้น ในไม่ช้าพระฤาษีวาลมีกิ ก็เห็นเรื่องราว รามายณะได้โดยตลอด
พระฤาษีวาลมีกิ ใช้เวลาอยู่นานแสนนาน ก็ได้รจนาและรวบรวมเรื่องราวรามายณะเรียบร้อย มีความยาวถึง 6 กัณฑ์ และมีกัณฑ์ แถมอีก 1 กัณฑ์ แล้วได้จัดให้ พระกุศ และพระลพ (โอรสของพระราม) ทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์เป็นพราหมณ์น้อย ๆ ที่มีความน่ารัก น่าเอ็นดู แล้วพระฤาษีวาลมีกิ ก็สอนให้กุมารทั้งสอง ท่องจำเรื่องราวรามมายณะ ตั้งแต่ต้นจนจบ จนจำขึ้นใจและยังต้องคล้องเข้าทำนองไปกับดนตรีอีกด้วยแล้วจัดให้กุมารทั้งสองไปเที่ยวสวดแสดงในสถานที่ชุมนุม ประชุมบรรดาพราหมณ์ทุก ๆ สถานที่ โดยทั่วที่มีพราหมณ์ จนกระทั่งเลยเข้าไปยังกรุงอโยธยา แล้วกุมารทั้งสองก็ได้สวดแสดงถวายองค์พระรามทรงรับฟังหลังจากที่พระรามได้กลับมาเป็นพระนารายณ์ ดังเดิมและเสด็จไปบรรทมสินธุ์ที่บรรลังก์อนันตนาคราช ในท้องทะเลเกษียณสมุทรตามเดิมแล้ว พระฤาษีวาลมีกิ ก็ได้เลื่อนฐานะ ขึ้นชั้นพรหมโลก ได้เป็นพระพรหมฤาษีวาลมีกิ ------------------------------------------ --------------------------------------------ขอยกความดีความชอบ ของความพยายามในการรวบรวมเรื่องราว ให้ อาจารย์ ว.จีนประดิษฐ์ และชาวคณะที่ได้จัดทำ นำความรู้เสริมมาให้ครับ******
ขอคารวะ สักการะแด่บรมครู ปู่ฤาษีทุกองค์ ทวยเทพทุกวิมาน ต่อครูอาจารย์ ต่อสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย ในการที่ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวของประดาผู้มีฤทธิ์เดชาและตบะบารมี มากล่าวอ้าง มิใช่จะอวดรู้ แต่เจตนาที่จะประวัติทุกท่านที่ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มาแล้วตั้งแต่อดีต มาเผยแพร่สู่ปัจจบัน แม้จะแค่บางส่วนเสี้ยวก็ยังดีด้วยความเคารพอย่างสูง



ฤาษีกไลโกฏิ
พงศ์ในรามเกียรติ์: ฤาษี
ประเภทหัวโขน: ฤาษีที่ทำพิธีหุงข้าวทิพย์
ลักษณะหัวโขน: ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี หัวโขนบางหัวจะทำเขาโผล่ขึ้นมา
รายละเอียด: พระฤาษีกไลโกฏ เป็นบุตรพระมุนีชื่ออิสีสิงค์ บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าศาลวัน เมืองพัทวิสัย




คือพระฤาษีประไลยโกฐ เป็นครูแห่งการร้องรำ ทรงครองเพศเป็นฤาษี แต่มีหน้าเป็นเนื้อ มีเขาเป็นวัวด้วยท่านกำเนิดจากวัวและกวาง แต่ได้บำเพ็ญจนคืนร่างเป็นมนุษย์ และได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการร้องทั้งปวง

ครับชื่อว่า ฤาษีกไลโกฎ ซึ่งในรามเกีรยติ์ในตอน นารายณ์อวตาร ก็มีชื่ออยู่ด้วยใจความว่า ฝ่ายท้าวทศรถนั้น มีเพื่อนเป็นพญานกชื่อสดายุ พระองค์ไม่มีโอรสธิดาเห็นว่าจะไม่มีใครสืบราชสมบัติ จึงทำพิธีขอโอรสที่มีฤทธิ์แต่ไม่สำเร็จ จึงไปนิมนต์ฤาษีกไลโกฎ ฤาษีกไลโกฎได้พาฤาษีอีก 4 องค์ ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้ แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น

ฤาษีที่ทำพิธีหุงข้าวทิพย์ในกรุงอโยธยามี 5 ตนกไลโกฎ-ฤาษีลักษณะหัวโขน ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี หัวโขนบางหัวจะทำเขาโผล่ขึ้นมาอีกด้วย พระฤาษีกไลโกฎ เป็นบุตรพระมุนี ชื่อ อิสีสิงค์ บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าศาลวัน เมืองพัทวิสัย แห่งท้าวโรมพัตตัน บิดาเคยสั่งห้ามมิให้แตะต้องสัตว์ซึ่งมีเขาที่อก มีตบะเดชแก่กล้าจนทำให้ฝนแล้งไปสามปี ท้าวโรมพัตตันใช้ให้พระธิดาชื่อ อรุณวดี ไปทำลายตบะ ฝนก็ตกต้องทั่วแผ่นดิน เมื่อพระกไลโกฎเสียตบะ และยังติดใจในกามรสจึงเข้าไปอยู่ในกรุงพัทวิสัยกับชายา ต่อมาท้าวทศรถไปทำพิธีขอโอรส พระกไลโกฎ ได้ไปเป็นประธานในการทำพิธี

ฤาษีกไลโกฎ เป็นฤาษีที่มีตบะญาณแก่กล้ามากจากตัวอย่างที่ว่า ด้านเมืองโรมพัตตัน มีท้าวโรมพัตเจ้าเมืองโรมพัตตัน เมืองนี้ฝนไม่ตกมาเป็นเวลาสามปี เกิดทุพภิกขภัย จึงให้จัดพิธีขอฝน แต่ไม่เป็นผล ต่อมาทราบว่าเพราะมีฤาษีตนหนึ่งชื่อกไลโกฎ บำเพ็ญตบะญาณแก่กล้าจนเกิดฝนแล้งขึ้น ท้าวโรมพัตจึงให้ธิดาชื่อนางอรุณวดี ไปทำลายพิธี โดยยอมเป็นเมียฤาษี

หลวงพ่อด่วน พระ เกจิดังเผาไม่ไหม้!

ข่าว แปลก ฮือฮา พระ เกจิ ชื่อดังเผาไม่ไหม้! หลัง จุดไฟเผา หลวงพ่อด่วน พระสงฆ์ เกจิดังเมืองระนอง นานครึ่งชั่วโมงปรากฏว่าไฟไม่ไหม้แม้แต่จีวร คณะศิษย์เตรียมบรรจุใส่โลงแก้วให้ประชาชนกราบไหว้ ลูกศิษย์ หลวงพ่อด่วน เผยก่อนมรณภาพ หลวงพ่อด่วน เคยสั่งไม่ให้เผาสังขารเพราะกลัวร้อน แปลกแต่จริง

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูประภัสรวิริยคุณ หรือหลวงพ่อด่วน ถามวโร อายุ 90 ปี 69 พรรษา พระเกจิชื่อดังของ จ.ระนอง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางนอน เมื่อเวลา 21.00 น. ของวันที่ 8 พ.ย. ณ เมรุลอยวัดวารีบรรพต (วัดบางนอน) ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง มีนางกาญจนาภา กี่หมัน ผู้ว่าฯระนอง เป็นประธานในพิธี มีพระราชรณังคมุณี เจ้าคณะจังหวัดระนอง พระสงฆ์ ข้าราชการ คณะศิษยานุศิษย์เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมากนั้น หลังจากที่นำศพของหลวงพ่อด่วนขึ้นเมรุลอยเพื่อประกอบพิธี เมื่อจุดไฟเผาศพแล้วใช้พัดลมเป่าเร่งเปลวไฟได้สักครู่ใหญ่ประมาณ 30 นาที ปรากฏว่าเปลวไฟไม่ได้เผาไหม้ศพของหลวงพ่อ แม้แต่จีวรที่ห่มอยู่ก็มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่ามกลางความตื่นตะลึงของบรรดาลูกศิษย์และผู้มาร่วมพิธีจำนวนมาก

เมื่อเห็นดังนั้นคณะลูกศิษย์จึงตัดสินใจยุติการเผาโดยใช้น้ำราดดับไฟทันที จากนั้นนำเอาศพของหลวงพ่อใส่โลงนำไปตั้งไว้ในวิหารพระพุทธไสยาสน์ พร้อมทั้งเปลี่ยนจีวรให้กับศพของหลวงพ่อใหม่ ท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาลูกศิษย์ที่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิระนองสงเคราะห์ได้เข้ามาควบคุมเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด และกันไม่ให้ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ศพของหลวงพ่อ เพราะเกรงจะเกิดความวุ่นวายเข้าแย่งชิงจีวร และเครื่องอัฏฐบริขารของเกจิดัง



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศพของหลวงพ่อด่วน อยู่ในสภาพคล้ายคนนอนหลับ มือทั้งสองข้างวางบนอก อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผิวหนังบริเวณแขนมีรอยไหม้เพียงเล็กน้อย ลำตัวและใบหน้าไม่มีรอยไหม้ ส่วนจีวรที่ห่มอยู่ก็มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทันทีที่พระสงฆ์และเจ้าหน้าที่เปลี่ยนจีวรผืนใหม่ให้แทน ประชาชนต่างฮือเข้าไปแย่งชิงจีวรผืนเก่ากันจำนวนมากเพื่อนำไปสักการบูชา หลังจากเปลี่ยนจีวรแล้วคณะลูกศิษย์ได้ยกศพหลวงพ่อขึ้นชูเหนือศีรษะเพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันชัดๆ จากนั้นคณะกรรมการวัดได้ประชุมร่วมกัน และมีมติให้เก็บสังขารหลวงพ่อไว้ในโลงแก้ว
นายนิพนธ์ ลิ้มรักษา รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคระนอง ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อ กล่าวว่า ก่อนหลวงพ่อมรณภาพได้สั่งเสียไว้ว่าอย่าเผาเพราะกลัวร้อน ให้เก็บสังขารไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้สักการบูชา แต่ทุกคนไม่เชื่อ กระทั่งเมื่อเผาไปได้สักพักใหญ่เห็นว่าไฟไม่ไหม้จึงตัดสินใจยุติการเผาในที่สุด
นายสมเพียร บั่นยี่เฉ่ง ชาวบ้านบางนอน กล่าวว่า เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อที่ได้ปฏิบัติธรรมมาอย่างเคร่งครัดยาวนาน ขณะที่กำลังเผาอยู่นั้นตนสังเกตอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าไฟไม่ไหม้ร่างของท่านแล้วจึงตะโกนให้เอาน้ำมาดับไฟทันที
ด้านพระสุรัตน์ อชิโต รักษาการเจ้าอาวาส กล่าวว่า คณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์เห็นพ้องกันว่าควรเก็บสังขารของหลวงพ่อไว้ในโลงแก้วตามความประสงค์ของหลวงพ่อ เพื่อให้ประชาชนได้กราบบูชาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนประกอบพิธีตลอดทั้งวันฝนได้ตกตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลาทำพิธีพระราชทานเพลิงฝนได้หยุดตก กระทั่งในเวลา 21.00 น. ได้ประกอบพิธีประชุมเพลิง แต่เมื่อเผาแล้วปรากฏว่าไฟไม่ไหม้ศพ
สำหรับพระครูประภัสรวิริยคุณ มรณภาพเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยอาการปอดติดเชื้อและโรคแทรกซ้อน ณ โรงพยาบาลระนอง สิริอายุรวม 90 ปี 69 พรรษา เกิดเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2460 ชื่อเดิม ด่วน ปรางสุวรรณ โยมพ่อชื่อนายแดง โยมมารดาชื่อนางปราง ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านท่าหิน ต.ท่าหิน อ.สะทิงพระ จ.สงขลา มีพี่น้องรวม 4 คน อุปสมบทเมื่อตอนอายุ 21 ปี อยู่วัดบางแก้ว อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง และได้ออกธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ กระทั่งมาสร้างวัดบางนอน ขึ้นในปี 2502 เป็นต้นมา ขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติมาโดยตลอด อาทิ การก่อสร้างพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ จัดสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อทวด วัดบางนอน ซึ่งได้รับความนิยมจากเซียนพระจำนวนมาก นำรายได้มาสร้างอุโบสถและพระพุทธไสยาสน์จนแล้วเสร็จสมบูรณ์จวบจนถึงปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันหลังจากข่าวศพหลวงพ่อด่วน ไม่ไหม้ไฟแพร่สะพัดออกไป ประชาชนจำนวนมากได้เดินทางไปกราบไหว้สักการบูชาศพของหลวงพ่อที่วัดบางนอน พร้อมร่วมบริจาคเงินทำบุญเพื่อซื้อโลงแก้วสำหรับบรรจุศพ นอกจากนี้วัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้างก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหลวงพ่อทวด มีประชาชนเช่าไปบูชาไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
พระสุรัตน์ อชิโต รักษาการเจ้าอาวาสวัดวารีบรรพต กล่าวว่า ตั้งแต่ค่ำวันที่ 9 พ.ย. เป็นต้นไป จะมีพิธีสวดอภิธรรม เป็นเวลา 3 คืน จากนั้นจะนำศพหลวงพ่อบรรจุใส่โลงแก้วแล้วตั้งไว้ในวิหารพระพุทธไสยาสน์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธากราบนมัสการสักการบูชาต่อไป
มหัศจรรย์หลวงพ่อด่วนวัดบางนอน ไฟเผาไม่ไหม้ มหัศจรรย์หลวงพ่อด่วนวัดบางนอน ไฟเผาไม่ไหม้ ข่าวฮือฮาที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ หลวงพ่อด่วน เกจิอาจารย์ดังวัดวารีบรรพตหรือวัดบางนอน แสดงปาฏิหารย์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่ามกลางสายตาของประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพ ไฟติดนานกว่า 30 นาทีแต่ทั้งศพและจีวรไม่ไหม้ คณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์จึงได้ยุติการประชุมเพลิง และนำร่างของท่านลงจากเมรุพิธี

ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์ประชุมเพลิง คือนายนิพนธ์ ลิ้มรักษา รองผอ.สถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคระนอง ผู้หนึ่งได้กล่าวว่า “ความประสงค์จริง ๆ ของหลวงพ่อด่วนนั้น ท่านไม่อยากให้เผา แต่ท่านอยากให้เก็บไว้ในโลงแก้ว” และนายจำเนียร ภูมิลักษณ์ ประธานสภาอบต.ประชาขันธ์ จ.พัทลุง หลานชายของหลวงพ่อด่วน ได้กล่าวว่า “ผมเองเป็นหลานชายแท้ ๆ ของหลวงพ่อด่วน โดยในวันนี้ได้เดินทางมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพและประชุมเพลิง ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะก่อนหน้านี้ได้เคยพบกับหลวงลุงและพูดคุยกันที่โรงพยาบาล ช่วงที่ท่านยังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลวงลุงได้บอกกับผมไว้ว่า ถ้ากูเป็นอะไรไปอย่าเผาท่านกู กูร้อน ถ้าใครไม่เชื่อแล้วจะได้เห็นเอง แต่ผมมาอยู่ตรงนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นคณะกรรมการในการตัดสินใจและจัดงานศพให้กับหลวงลุง ได้แต่บอกกับทางคณะกรรมการว่า ถ้าในพิธีประชุมเพลิงจุดไฟไม่ติด หรือร่างท่านไม่ไหม้ ก็ให้หยุดทันที ซึ่งเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างนั้นจริง ๆ “

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2550 ที่ผ่านมานี้ที่วัดวารีบรรพตหรือวัดบางนอน ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง ได้มีการประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระครูประภัทร์วิริยคุณ (หลวงพ่อด่วน) อดีตเจ้าอาวาสวัดวารีพบรรพตหรือวัดบางนอน ที่ได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 โดยมี นางกาญจนาภา กี่หมัน ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเป็นประธานฝ่ายฆราวาส เมื่อถึงเวลา 21.00 น. ได้มีการประชุมเพลิง ณ เมรุลอย ด้านข้างวิหารพระพุทธไสยาสน์ ตรงข้ามอาคารรูปปั้นหลวงปู่ทวด หลังจากที่ไฟติดนานเป็นเวลากว่า 30 นาที ปรากฎว่าทั้งจีวรและร่างของหลวงพ่อด่วนไม่ไหม้ไฟ ดวงตายังแววใส จากการสังเกตุดูศพของหลวงพ่อเมื่อยกออกมาจากโลง ยังอยู่ในสภาพนอนหงายเหมือนคนนอนหลับ มือทั้งสองข้างวางบนอก อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากบริเวณผิวหนังของแขนมีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แว่นตาที่สวมใส่อยู่ก็ไม่มีรอยร้าวหรือหม่นหมองแต่อย่างใด ลำตัวและใบหน้าไม่มีรอยไหม้ ส่วนจีวรที่ห่มศพก็มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และขณะนี้ได้นำกลับมาบรรจุลงในหีบศพและวางไว้ที่วิหารพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมศพดังเดิม เพื่อรอการเปลี่ยนเพื่อบรรจุลงโลงแก้ว และเก็บไว้ให้ศิษยานุศิษย์และผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้มาสักการบูชาต่อไป

ข่าวนี้เป็นข่าวที่พุทธศาสนิกทั่วไปต่างโมทนา สาธุ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ที่เกิดจากอำนาจของพุทธคุณที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์และบรรยายได้ แต่ก็ไม่สามารถคัดค้านว่าไม่เป็นความจริงได้เช่นกัน แต่ก็นับว่าเป็นข่าวด้านบวก ต่อวงการพระพุทธศาสนา ทำให้คนเชื่อมั่นต่อพระสงฆ์มากขึ้น หลังจากที่น.ส.พ.เอาแต่ตีข่าวฉาวโฉ่ของพระสงฆ์ที่ประพฤติเสื่อมเสีย เพื่อขายข่าวมาตลอด อย่างว่าละครับ ข่าวดีๆ ข่าวสร้างสรรค์ มันไม่ดัง ไม่ฮือฮา เขียนหากินไม่ได้นิ!!!ภาพและข่าวจาก website : จังหวัดระนอง


เรื่อง มหัศจรรย์หลวงพ่อด่วนวัดบางนอน จ.ระนองเผาไม่ไหม้

ขอนมัสกาลครับผมสงสัยว่า ทำไมเปลวไฟ ถึงไม่ไหม้สงขารณ์หลวงพ่อด่วน ครับ*************************เปลวไฟไม่ไหม้สังขารณ์ "หลวงพ่อด่วน ถามวโร" พระเกจิชื่อดังจังหวัดระนอง ศิษยานุศิษย์แห่แย่งจีวร นำบูชา-เครื่องลางของขลัง เมื่อเวลา16.00 น. ของวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นางกาญจนาภา กี่หมัน ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ได้เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูประภัสรวิริยคุณ หรือ "หลวงพ่อด่วน ถามวโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดบางนอน พระเกจิชื่อดังจังหวัดระนอง ณ เมรุลอย ภายในวัดวารีบรรพต ม.1ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง โดยมีพระราชรณังคมุณี เจ้าคณะจังหวัดระนอง พระสงฆ์ ข้าราชการ คณะศิษยานุศิษย์เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนประกอบพิธีตลอดทั้งวัน ได้มีฝนตกตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลาพิธีพระราชทานเพลิงศพ ฝนกลับหยุดตก สร้างความประหลาดใจแก่แขกผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก จากนั้นในเวลา 21.00 น. ได้มีการประกอบพิธีประชุมเพลิง โดยมีคณะศิษยานุศิษย์ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากที่นำศพของหลวงพ่อด่วน ออกจากโลงแล้ว ก็ได้มีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพทันที โดยสัปเหร่อได้จุดไฟเผาศพแล้วใช้พัดลมเป่าเพื่อเร่งเปลวไฟให้ลุกไหม้สักครู่ใหญ่ ประมาณ 30 นาที ทางคณะศิษยานุศิษย์ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บริเวณโดยรอบ ได้สังเกตุเห็นว่าเปลวไฟไม่ได้เผาไหม้ศพของหลวงพ่อด่วนแม้แต่น้อย มีแต่เพียงจีวรที่ห่มอยู่ที่ถูกเปลวไฟเผาไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำให้คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อด่วนตัดสินใจยุติการฌาปนกิจศพทันที ต่อจากนั้นได้นำเอาศพของหลวงพ่อด่วน ใส่ในโลงศพแล้วนำขึ้นไปวางในวิหารพระพุทธไสยาสน์ พร้อมกับยกศพของหลวงพ่อด่วนออกจากโลง แล้วมาวางบนแท่นเพื่อเปลี่ยนจีวรให้ใหม่ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของคณะศิษยานุศิษย์ผู้เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงพ่อด่วน เพราะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อที่เป็นเหตุให้เปลวไฟไม่เผาไหม้ร่าง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิระนองสงเคราะห์ ก็ได้กันไม่ให้ประชาชนที่มาร่วมงานและไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ศพหลวงพ่อด่วน เพราะกลัวจะเกิดความวุ่นวายเข้าไปมุงดูศพและแย่งชิงจีวร เครื่องอัฏฐบริขารต่างๆเพื่อนำไปบูชา ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากการสังเกตุศพของหลวงพ่อด่วน เมื่อยกออกมาจากโลง อยู่ในสภาพนอนหงายเหมือนคนนอนหลับมือทั้งสองข้างวางบนอก อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากบริเวณผิวหนังของแขนมีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แว่นตาที่สวมใส่อยู่ก็ไม่มีรอยร้าวหรือหม่นหมองแต่อย่างใด ลำตัวและใบหน้าไม่มีรอยไหม้ ส่วนจีวรที่ห่มศพก็มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทันทีที่พระภิกษุและเจ้าหน้าที่เปลี่ยนจีวรที่ห่มอยู่ออก แล้วห่มจีวรผืนใหม่ให้แทน ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อก็แย่งชิงจีวรผืนเก่ากันเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปเป็นเครื่องรางของขลัง หลังจากเปลี่ยนจีวรใหม่แล้วคณะศิษยานุศิษย์จึงได้ยกศพหลวงพ่อขึ้นชูเหนือศรีษะเพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันชัดๆ จากนั้นก็นำศพเก็บไว้ในโลงตามเดิมเพื่อรอเก็บศพไว้ในโลงแก้ว กระทั่งเวลา 23.00 น. คณะกรรมการวัดได้ประชุมร่วมกันและมีมติให้เก็บสังขารณ์หลวงพ่อด่วนไว้ในโลงแก้ว นายสมเพียร บั่นยี่เฉ่ง ชาวบ้านบางนอน ผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อด่วน กล่าวว่า เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ เพราะได้ปฏิบัติธรรมมาอย่างเคร่งครัดและยาวนาน ในขณะที่กำลังเผาอยู่นั้นตนสังเกตุอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าไฟไม่ไหม้ร่างจึงตะโกนให้เอาน้ำมาดับไฟทันที ทางด้านพระสุรัตน์ อชิโต รักษาการเจ้าอาวาสวัดวารีบรรพต กล่าวว่า ทางคณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์ เห็นพ้องกันว่าควรเก็บสังขารของหลวงพ่อไว้ในโลงแก้ว ตามความประสงค์ของของพ่อ เพื่อให้ประชาชนได้กราบนมัสการสักการบูชาต่อไป สำหรับพระครูประภัสรวิริยคุณ ได้มรณภาพเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 ด้วยโรคปอดติดเชื้อและโรคแทรกซ้อน ณโรงพยาบาลระนอง สิริอายุรวม 90 ปี 69 พรรษา ชื่อเดิมว่า "ด่วน ปรางสุวรรณ" โยมพ่อชื่อนายแดง โยมมารดาชื่อนางปราง ปรางสุวรรณ ภูมิลำเนาเดิมบ้านท่าหิน ต.ท่าหิน อ.สะทิงพระ จ.สงขลา มีพี่น้องรวม 4 คน เกิดเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2460 เมื่อเรียนจบชั้น ป.4 แล้ว ช่วยพ่อแม่ทำนา พ่ออายุ 21 ปี สมัครเข้ารับราชการตำรวจ แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก จึงตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระ ณ วัดบางแก้ว อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง จำพรรษาอยู่ที่วัดบางแก้วใต้ 1 พรรษา จากนั้นไปปฏิบัติกรรมฐานที่ถ้ำบนเขาชัยสน 2 พรรษา และได้ออกธุดงค์โปรดสัตว์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ หลายจังหวัด จนได้มาถึงปากน้ำเมืองระนอง ขณะที่ปักกลดธุดงค์อยู่นั้น นายไปล์ จุลเขตต์ ชาวบ้านตำบลบางนอนได้นิมนต์ให้ไปปักกลดที่บ้านบางนอนบริเวณตรงที่สร้างพระนอนในปัจจุบัน อยู่มาคืนหนึ่งขณะที่นอนจำวัดเห็นคนรูปร่างใหญ่ผิวดำมีขนตามตัวยาวนุ่งผ้าโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ มีแต่ผ้าพาดบ่า ได้เดินมาหาแล้วพูดว่าขอนิมนต์ให้อยู่ที่นี่ หลวงพ่อจึงได้ตัดสินใจอยู่ที่จังหวัดระนองและสร้างวัดขึ้นตั้งแต่ปี 2502 เป็นต้นมา คือ วัดวารีบรรพต (วัดบางนอน)ในปัจจุบัน ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติมาโดยตลอด.อาทิ การก่อสร้างพระพุทธไสยาสน์(พระนอน)ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ พร้อมทั้งจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อทวด วัดบางนอน ซึ่งได้รับความนิยมจากเซียนพระเป็นจำนวนมาก เพื่อนำรายได้มาสร้างอุโบสถและพระพุทธไสยาสน์จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ มาจวบจนถึงปัจจุบันวัดบางบอน

"แบงก์พัน" ใส่รูปฤาษี

โวยแปลง"แบงก์พัน" ใส่รูปฤาษี แจกโปรโมตจตุคามวัดดังเชียงใหม่ ทับ"ฉายาลักษณ์" ชาวบ้านรุมจวก ชี้หมิ่นเบื้องสูง



ชาวบ้านโวยวัดในเชียงใหม่ไม่เหมาะสม นำภาพฤๅษีมาปิดทับพระบรมฉายาลักษณ์ เผยทำพิธีพุทธาภิเษกจตุคามฯ พระครูใบฎีกาเทียนชัย พระดังเป็นผู้จัดสร้างพร้อมเชิญฤๅษีมา แจกจ่ายธนบัตรชนิด 1 พันบาทที่ถ่ายเอกสารเรียกแบงก์มหามงคล โดยติดภาพฤๅษีทั้งด้านหน้าและหลังมาถ่ายเอกสาร ก่อนเขียนยันต์ให้ประชาชนที่มาเช่าจองบูชาจตุคามฯ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมรายงานสำนักพระพุทธเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ที่ไปร่วมงานการพุทธาภิเษกจตุคามรามเทพ รุ่นพระมหาโพธิสัตว์ประทานพรอุดมทรัพย์ ของวัดแม่ตะไคร้ กิ่งอ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ โดยมีพระครูใบฎีกาเทียนชัย ซึ่งเป็นผู้จัดสร้าง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในการพุทธาภิเษกดังกล่าว พระครูใบฎีกาเทียนชัยได้เชิญฤๅษีมาช่วยประชาสัมพันธ์ โดยการแจกจ่ายธนบัตรที่ถ่ายเอกสาร เรียกว่าแบงก์มหามงคล ด้วยการนำธนบัตรราคา 1 พันบาทมาติดภาพฤๅษีทั้งด้านหน้าด้านหลังมาถ่ายเอกสาร และเขียนติดแบงก์ว่ารวยเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าล้าน เขียนยันต์ตามจุดต่างๆ พระครูใบฎีกาเทียนชัยได้แจกให้ประชาชน ที่มาเช่าจองบูชาจตุคามรามเทพ และให้ประชาชนนำเหรียญจตุคามฯ มาให้เจิม จากนั้นจะแจกแบงก์ฤๅษีและผ้ายันต์ โดยมีบาตรวางอยู่ข้างตัวพระครูใบฎีกาเทียนชัย เมื่อประชาชนได้แบงก์ฤๅษีไปแล้ว ก็จะนำธนบัตรใบละ 20 บาท หรือ 100 บาทใส่ในบาตร เหมือนป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าว มีประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งชาวต่างประเทศที่มาร่วมพิธี มองว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเป็นการนำภาพฤๅษีมาติดแทนที่พระบรมฉายาลักษณ์ ถือว่าเป็นการไม่บังควรและต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาตรวจสอบการกระทำดังกล่าว นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งสามารถพูดไทยได้เล็กน้อย กล่าวว่า เห็นพระนำแบงก์ฤๅษีมาแจกจ่ายให้กับประชาชน ที่มาเช่าจองจตุคามรามเทพ เป็นภาพฤๅษีแทนพระบรมฉายาลักษณ์ ก็เข้าไปสอบถามพระครู แต่พระครูกลับแจกแบงก์ฤๅษีและผ้ายันต์มาให้ แถมยังเจิมหน้าผาก แล้วให้ตนบริจาคเงินใส่ในบาตรอีกด้วย จึงรู้สึกประหลาดใจมาก ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง นายวัลลภ นามวงค์พรหม คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า การที่พระครูใบฎีกาเทียนชัย ทำแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง การทำพิธีพุทธาภิเษกหรือกดพิมพ์นำฤกษ์ ช่วงนี้ต้องหาจุดเด่นของการสร้าง การทำพิธีเพื่อดึงดูดให้คนมาเช่าบูชา ทราบว่าพระครูใบฎีกาเทียนชัยได้เชิญฤๅษี 3 ตนซึ่งรู้จักกันมาช่วยทำพิธีในการโปรโมต และฤๅษีทั้งสามก็อวดว่าเป็นผู้วิเศษ นำแบงก์ฤๅษีมาแจกจ่ายให้กับประชาชน พร้อมทั้งให้คนที่มาขอรับแบงก์ฤๅษีบริจาค เป็นเงินจริงใส่ในบาตร ตัวครูบาเองก็ห้อยจตุคามรุ่นต่างๆ เต็มตัว เห็นแล้วไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง "การนำแบงก์ลักษณะคล้ายธนบัตรฉบับละพันบาทมาทำแบบนี้ ถือว่าไม่ควรอย่างยิ่ง แม้แต่ชาวต่างประเทศสงสัยเข้าไปสอบถามก็ยังไม่รู้ตัวอีก พระครูใบฎีกาเทียนชัยกระทำไม่เหมาะสมกับการเป็นพระ จะนำเรื่องนี้รายงานไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ทราบต่อไป" นายวัลลภกล่าวที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด